รางวัลโนเบล ฟิสิกส์ ปี 2022 Part 3: หลักการทดสอบความเป็นจริงเหนือจิตสำนึก (Bell's Inequality)
Vložit
- čas přidán 24. 07. 2024
- รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ปี 2022 "สำหรับการทดลองโฟตอนพัวพัน (entangled photons) ทำให้เกิดการละเมิดความไม่เท่าเทียมกันของเบลล์ (Bell inequalities) และผู้บุกเบิกวิทยาการสารสนเทศควอนตัม (quantum information)"
ใน part นี้ เกี่ยวข้องกับที่มาของ Bell's Inequality และ CHSH Inequality ในการพิสูจน์ กลศาสตร์ควอนตัม
#onetomany #quantum #nobelprize2022 #physics
เนื้อหา
00:00 คำแนะนำ
01:00 การกระโดดทางควอนตัม
01:56 แมวของชโรดิงเจอร์
04:01 การรับรู้
04:53 Orthodox กับ Realism
06:16 การตีความแบบหลายโลก
07:12 EPR/Bohm
09:18 Bell Theorem
10:00 Bell's Inequality
11:08 CHSH Inequality
14:00 การทดลองของ Clauser
14:53 สรุป
แหล่งอ้างอิง
On the Einstein Podolsky Rosen paradox
journals.aps.org/ppf/pdf/10.1...
Proposed Experiment to Test Local Hidden-Variable Theories
journals.aps.org/prl/pdf/10.1...
=================================================
One To Many - A Brief Science
ไม่พลาด คลิปความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ เข้าใจง่าย ได้ความรู้
/ @onetomanysci
สมัครเป็นสมาชิกของช่องนี้เพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ
/ @onetomanysci
เพจ Facebook
/ one-to-many-a-breif-sc... - Věda a technologie
ยิ่งฟังก็ยิ่งมันส์ ขอบคุณเป็นอนันต์.
รอฟังบทสรุปเลยครับ กำลังเข้มข้น
เย้ยย ได้ฟังซะที ขอบคุณค้าบบบ
ดีมากครับ ขอบคุณครับ
ถ้าไอสไต กับชโรริงเจอ เกิดมาพร้อมยุคโซเชี่ยล น่าจะพิมคีบอทใส่กันยับ😂
555 น่าจะใช่ หลายช่อง CZcams คงทำ content อธิบายเกือบทุกวันแน่
😅 ขนาดนกฮูกยุคนั้นยังเบื่อการโต้วารสาร จริงอยู่ ยุคปัจจุบันคงขึ้นเวทีบรรยายใส่กันยับ ทวีตกระทู้ คงมีแค่สองคนโต้กันไม่หลับไม่นอน 😁
สุดยอดครับ
เมื่อ Quantum computer เสร็จสมบูรณ์และใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
มันจะตอบคำถาม ทั้งหมดที่นักวิทย์ศาสตร์เคยโต้แย้งกันมานานเกือบทั้งหมด
สามารถสร้างการทดลองบนแฟลตฟร์อมของมันเอง และด้วยสมการความไม่แน่นอนเองก็เป็นไปได้ที่จะสามารถวัด โมเมนตัม และตำแหน่งได้พร้อมๆกัน เมื่อ เดลต้า X และ เดลต้า P ค่าเป็น 0
ขอบคุณมากครับทำให้เราเข้าใจระบบคิดที่ใช้เหตุผลแย้งกันทางวิทยาศาสตร์ เพื่อหาข้อสรุปว่าถูกต้องสุดท้ายในวันนี้แต่วันหน้าเมื่อความจริงใหม่เกิดขึ้นวันนี้ก็จะผิดในอนาคต
ล้ำเส้น ขอบเขตของ วิชาวิทยาศาสตร์ไปสู่วิชาปรัชญา
อธิบายที่มาของอสมการของเบลล์สั้นไปหน่อยครับ อยากให้ลงรายละเอียดเชิงลึกมากกว่านี้
ผมจะพิสูจน์ให้ได้ว่า Superposition กับ Entanglement เร็วกว่าแสง
สู้ๆนะครับ รางวัลโนเบลรอคุณอยู่55555
ถ้ายังอธิยายไม่ได้หมด แนวคิดออทอดอก ก็คือการคาดการณ์ ด้วยความเป็นไปได้ ตามคณิตศาสาตร์
โอ้ สมองอันน้อยนิดของข้าพเจ้า
ตั้งแต่ปี2000 เป็นต้นมา เรารู้เรื่องควอนตั้มอะไรเพิ่มมากขึ้นจากยุค50-70 บ้างครับ
ช่วงนั้นเป็น ฟิสิกส์อนุภาค อุปกรณ์อิเล็กโทนิก
เสียใจเล็กน้อยที่ รางวัลโนเบลก็ตอบไม่ได้ว่าจะส่งข้อมูลเร็วกว่าแสงได้ไหม
ฟังเพื่อเป้นพื้นฐานของควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ไหมครับ
-ถ้าเคยเรียนกลศาสตร์ควอนตัมพื้นฐานมาบางแล้ว เรียน Linear algebra ของทางคณิตศาสตร์จะช่วยในการอ่านพื้นฐานทางควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น ครับ
- ในปัจจุบันมีหนังสือหลายเล่มที่เป็นพื้นฐานควอนตัมคอมพิวเตอร์ ถ้าใช้การวิเคราะห์ด้วย Linear algebra จากสมการจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ครับ
ฟังไม่ค่อยเข้าใจเลยแฮะ เดี๋ยวคงต้องไปทวน Part 1,2 ใหม่ 555
แบ่งเป็น 2 ประเด็น นะครับ คือ ตัวแปรซ่อนเร้น กับ locality
-หลายช่องในต่างประเทศมักจะพูดย่อเกินไป โดยมักกล่าวว่า ถ้ามีการละเมิดความไม่เท่าเทียมของเบลล์ ก็หมายความว่า ไม่มีตัวแปรซ่อนเร้น กับ non-locality (มี quantum entanglment)
-ซึ่งไม่ได้ เป็นเช่นนั้น เนื่องจากการทดลองเป็นการวัดผลของ photon หลายๆ ครั้ง ซึ่งไม่มีทางรู้ว่า มีการส่งข้อมูลที่เร็วกว่าแสงหรือไม่
-ในการทดลองของ John Clauser เป็นวัดค่าช่วงสุดท้ายอย่างเดียวเท่านั้น จึงมีความชัดเจนว่า ไม่สามารถใช้แนวคิด ตัวแปรซ่อนเร้นได้
ใช้คณิตในการพิสูจน์ความน่าจะเป็นในพฤติการณืของควอนตัมยังไม่เพียงพอ เพราะควอนตัมอยู่นอกเหนือกฏพื้นฐานทั่วไป
รางวัลน่าจะใช่แสดงกฎคณิตมากกว่าว่าสามารถพิสุจน์พฤติการณ์ทางควอนตัม
การทดลองให้มีความชัดเจน ก็มีความสำคัญเช่นกัน นะครับ
-เพื่อให้เข้าใจกลไก หรือ กระบวนการบางอย่างว่า โมเดลที่เรามีอยู่นั้น ถูกต้องหรือไม่
-ถ้าโมเดลที่เรามีอยู่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องหาคณิตศาสตร์ใหม่ให้มีความใกล้เคียง กับการทดลองและตีความ สิ่งนั้นในมุมมองใหม่
เองไปตีตัวเสมอเขาอีก
ในอดีตเคยมีนักฟิสิกส์หัวร้อนเถียงจนต่อยกันมั้ยครับ? 😂
สูงเกิน
เองแค่ใช้ความพยายามน้อยเกินไป
ไม่มีจริงตัวแปรซ่อนเร้น
ไม่เข้าใจเลย โง่จริงเรา
ตอนอ่านแรกๆ ผมก็งง เหมือนกัน ครับ (เมื่อ 7 ปี ก่อน) ใน part 2 กับ 3 มี link งานวิจัยของจริงอยู่ใต้ description ถ้าดูครั้งแรกแล้ว ไม่เข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ครับ
เน้น ประเด็น ตัวแปรซ่อนเร้น กับ locality จะช่วยได้มากครับ
ขอบคุณครับ
ผมไม่ทราบนะครับว่างงในส่วนไหนแต่ผมขอเดาว่า Bell's Inequality แล้วกันครับ
จริงๆ Bell's Inequality มันเหมือนใช้กับวิชา set ในคณิตศาสตร์มากกว่าฟิสิกส์สะอีกครับ โดยเอาหลักการ 2 อย่างที่ Einsteins แย้งมาเป็นพื้นฐานนั่นก็คือ
1) Realism - ดวงจันทร์มันอยู่บนฟ้าตรงนั้นถึงแม้ว่าเราจะไม่มีตัวตนหรือไม่มีการรับรู้จากผู้สังเกตการณ์ใดๆ(no conciousness)
2) Locality - จากจุด A ไป จุด B จะมีการส่งข้อมูลอะไรก็ตามหากันได้ไม่เกินความเร็วแสง
จาก realism กับ locality เอาทำเป็น set ของความน่าจะเป็นของ 3 อย่าง A,B,C เช่น A=ดช.ก.ไปรร., B=ดช.ก.ใส่เสื้อสีฟ้า, C=ดช.ก.กินใส้กรอกเป็นมื้อเช้า ซึ่งเหตุการณ์ ABC นี้เกิดขึ้นได้จริงแค่กรณีที่ Realism กับ Locality เป็นจริงพร้อมกันเท่านั้น
ทีนี้ผมไปวิธีการอธิบายนึงใน MIT course ซึ่งเข้าใจง่ายมากเลยนำว่าแชร์กันคือ
N[Aที่ไม่เกิดB] + N[Bที่ไม่เกิดC] จะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ N[Aที่ไม่เกิดC] เสมอ!!!
ถ้างงก็ลองวาดวงกลมสามสีซ้อนกันแบบโลโก้ช่อง7 แล้วก็แทนวงกลมวงใหญ่สามวงเป็น ABC ดูครับ
แต่ที่ยากจริงๆก็คงการทดลองในห้องlab จริงๆหลายๆครั้งให้เกิดเหตุการณ์ ABC แล้วก็วัดผลเป็นค่าสถิติหรือความน่าจะเป็นต่างๆแล้วก็คำนวณออกมา
ซึ่ง Bell's Inequality นี้ไม่สนใจเลยว่า จะมี hidden variable หรือตัวแปรซ้อนเร้น ที่ยังไม่ค้นพบหรือไม่ แต่ว่าต่อให้มี hidden variable แล้วโลก quantum มันยังประพฤติตัวตาม realism+locality อยู่ยังไง Bell's Inequality ก็ต้องถูกต้องอยู่เสมออยู่ดี
@@PatiparnPojanart ตอนแรก ก็จะอธิบายแบบ set แหละ ครับ แต่กลัวงง กว่าเดิม
@@onetomanysci ตอนแรกผมเริ่มศึกษาจากการทดลอง stuart+john ที่หมุน polarize ไปมาแล้วกราฟมันควรจะได้ 25% กับ 75% ถ้า Bell's Inequality ถูกแต่มันดันได้ 22.5% กับ 77.5% (จำเลขเป๊ะไม้ได้แต่เป็นกราฟsine) แทน ซึ่งตอนนั้นว่างงแล้ว พอมาเจอ การทดลอง CHSH ยิ่งงงหนักเลย แต่ตอนที่เก็ตทั้งหมดก็เกิดจาก MIT นี่แหละว่ามันพิสูจน์จากหลักความน่าจะเป็นไม่ได้ derive มาจาก calculus อะไรใหญ่โตเลยถึงเก็ททั้งหมด🤣
ว่าแต่หลังจบ nobel prize แล้วนี่แอดจะไปเรื่องไหนต่อครับ