Quiet Quitting คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อ การทำงานหนัก แล้วจะได้ดี...จริงหรือ | Executive Espresso EP.376
Vložit
- čas přidán 25. 08. 2024
- ข่าวดี! สำหรับแฟนๆ The Secret Sauce ทุกท่าน ขยายระยะเวลาช่วง Early Bird ถึง 30 กันยายนนี้
ซื้อบัตรได้เลยที่ www.thaiticket...
เมื่อคนรุ่นใหม่เกิดแนวคิด Quiet Quitting หรือการลาออกแบบเงียบๆ ที่ไม่ใช่ลาออกจากองค์กร หากแต่เป็นการลาออกจากวัฒนธรรมการคลั่งงาน
The Secret Sauce เอพิโสดนี้ พาไปวิเคราะห์แนวคิด Quiet Quitting ฉากทัศน์ต่อเนื่องจากปรากฏการณ์ The Great Resignation เมื่อบทเรียนจากโรคระบาดทำให้พนักงานหันกลับมาทบทวนชีวิตใหม่ และมองหา ‘สมดุลชีวิต’ จากปรากฏการณ์ที่ว่านี้ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง นักวิชาการมองเรื่องนี้อย่างไร และองค์กรควรรับมืออย่างไรให้สอดคล้องกับโลกของการทำงานในอนาคต
________________
ตอนนี้ช่อง THE SECRET SAUCE ของเราได้เปิดให้แฟนๆ เข้ามาจอยเป็น Membership แล้วนะครับ สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ ในราคาเพียง 50 บาทต่อเดือนเท่านั้น
โดยคุณสามารถคลิกที่ปุ่ม Join แล้วเลือกช่องทางชำระเงินตามสะดวกได้เลย หรือกดลิงก์ / @thesecretsauceth
มาเป็น The Secret Sauce Club ด้วยกันนะครับ :)
________________
ติดตาม The Secret Sauce ในช่องทางอื่นๆ
Spotify bit.ly/tssspotify
Apple Podcasts bit.ly/tssapple
Google Podcasts bit.ly/tssggpod
PodBean bit.ly/tsspodbean
Website bit.ly/webtss
Facebook / thesecretsauceth
Facebook Group / 643054436428079
#TheSecretSauce #QuietQuitting #ExecutiveEspresso
The Secret Sauce Strategy Forum 2022: CODE RED Strategy กลยุทธ์คว้าโอกาสจากวิกฤตโลก thestandard.co/thesecretsauce-forum-2022/
ถ้าคุณเชื่อว่าการทำงานหนักแล้วจะประสบความสำเร็จ แสดงว่าประสบการณ์ในการพบเจอหรือรับรู้ลักษณะงานในอาชีพต่างๆของคุณต่ำ คำว่าประสบความสำเร็จคือ ต้องได้ตำแหน่ง ต้องได้เงินหรือรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่าง ข้าราชการไทย ทำหนักแค่ไหน แต่ไม่เคยวิ่งเต้นเลย ก็เท่านั้น ก็ทำต่อไป ทำหนักต่อไปในตำแหน่งเดิมซ้ำซากกี่ปีกี่ชาติไม่มีความเจริญ แล้วอย่ามาเหมารวมว่าการวิ่งเต้นมันคือการทำงาน ตรรกะขยะ จึงทำให้ขาดสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นในการพัฒนาองค์กร ทำงานไปวันๆให้เสร็จแล้วรับเงินเดือนอันน้อยนิดเป็นปกติ อยากเจริญเอาเวลาไปวิ่งเต้นดีกว่า เอาเวลาไปทำงานทำธุรกิจเสริมดีกว่า ให้งานราชการเป็นงานโง่ๆรองๆไปอย่าไปใส่ใจกับสิ่งที่ไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น มันเกิดเป็นตรรกะแบบนี้ การทำงานหนักแล้วจะประสบความสำเร็จ ใช้กับทุกอาชีพไม่ได้
บางบริษัท เอาเรื่อง up skill เอาเรื่อง special assignment อัดทั้งงานคนเก่า เพิ่ม scope งานใหม่ เพิ่ม area แต่ไม่เพิ่มคน มาให้หนักงานคนเดียว ระดับ managment พูดเป็นอยู่แต่แนวทางเดิมๆ แล้วให้พนักงานช่วยเข้าใจ ขอคงามร่วมมือ แต่ไม่เพิ่มเงิน หัวหน้าตัดสินใจช้า ไม่ทำอะไรเพื่อ engage พนักงาน สุดท้ายพนักงานค่อยๆเย็นชา จนไม่สนใจปัญหา และปล่อยให้หัวหน้าไปแก้เอาเอง
ธุรกิจ บ.น่าคิดว่าเขาจะสู้บ.อื่นได้หรือไม่ถ้าผลผลิตต่ำเจ๊งก็ตามมา
นี่แหล่ะที่ทำให้บริษัทเจ๊งปิดตัวเร็วขึ้นแล้วก็มานั่งร้องไห้คร่ำครวญตอนตกงาน ขอแค่ให้เงินเดือนครึ่งเดียวก็เอาถ้ายังให้งานทำ เห็นแล้วสมเพทสิ้นดี
อาจจะด้วยชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Executive Expresso การวิเคราะห์ที่ได้รับฟัง เลยค่อนข้างมี Bias ชัดเจน คือ พิธีกรจะพูดแต่ในมุมมองของผู้บริหารเป็นหลัก และอาจจะมอง Quiet quitting ในมุมที่มองว่าไม่ดี ซึ่ง Quiet quitting ไม่ใช่การที่คนไม่ทำงาน (อันนั้นคือไม่มีความรับผิดชอบ) แต่ Quit quitting ยังคงทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จเป็นอย่างดี (เพราะถ้าไม่ทำก็ถูกไล่ออกน่ะสิ) แต่อาจจะหยุดเรื่องการทุ่มเทให้งานดียิ่งขึ้น หรือทำผลงานที่ต้องทุ่มเทมากๆ เพื่อความก้าวหน้าของการงาน ซึ่งก็มีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านส่วนบุคคล หรือสภาพแวดล้อม
การขยันทำงานหนักไม่ได้ทำให้คนได้ดีเสมอไป "ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่ก้าวหน้า" อันนี้คือเรื่องจริง เพราะปัจจัยของความก้าวหน้าไม่ได้อยู่ที่ความขยันเพียงอย่างเดียว ยังมีเรื่องความของผลประโยชน์ เรื่องของอาวุโส เรื่องของความชอบส่วนบุคคล ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันจะหายไปจากมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม
ใช่ครับ comments นี้วิเคราะห์ได้ดีครับ
เจ้าสัว นายจ้าง เถ้าแก่ หัวหน้า
ก็ปราถนาที่จะได้คนทำงานให้แบบ ทุ่มเท ทุกมิติ เพื่อให้องค์กร บริษัท หรือธุรกิจตนเอง ใหญ่โต เจริญ รุ่งเรือง ร่ำรวย
เขาต้องการแรงงาน ต้องการคนทำงาน เพื่อให้เขา รวยขึ้น
แต่ในมุมคนทำงาน มุมแรงงาน ถ้า ไม่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ หนือจุนเจือครอบครัว ใครจะทำงานให้คนอื่น ทุกคนก็ต้องเลือกทำงาน ที่ตนเองอยากทำ ทำแล้วมีความสุข
ระดับแรงงาน ลูกจ้าง ที่ทำ เพราะต้องทำ แล้วปรับทัศนคติตนเองว่า ทำยังให้มีความสุข เพราะยังไวก็ต้องทำ คิดบวกเพื่อให้ชีวิตมีความสุข ย่อมดีกว่า
ถามว่า ถ้าไม่ต้องทำ ใครจะอยากทำงานหนัก รับภาระหนัก แข่งขันดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อให้ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น
เถ้าแก่ นายจ้าง ที่ร่ำรวย สุขสบาย เขาถึงต้องการแรงงาน คนทำงาน ที่จะมาทำตรงนี้ให้เค้า
อีกไม่นาน หรือจริงๆ เริ่มขึ้นมาสักพักแล้ว ที่แรงงานไทยในระดับกลาง เริ่มขาด ส่วนระดับล่างหรือกรรมกร ขาดมานานแล้ว
แล้วมาดูกัน ว่านายจ้าง ที่ไม่สนใจ ใส่ใจ หรือให้การดูแลลูกจ้าง ในแบบที่มองว่าเค้า เป็นมนุษย์ คนนึง
จะอยู่ต่อกันยังไง ที่ยังทำงานกันแบบ ลูกจ้างมืออาชีพ ก็อายุ 40 ขึ้นกันหมด
คนรุ่นใหม่ อายุ 20~35 เขาไม่มีค่านิยม ทำงานหนัก อุทิศชีวิต เพื่อนายจ้างแล้ว เขาเอาตนเอง เอาครอบครัวเป็นหลัก
เน้นมีความสุข ณ ปัจจุบัน มากกว่าทำงานเอาเป็นเอาตาย เพื่อหวังสบาย ตอนแก่ เพราะปัจจุบัน คนเราตายไว ตายง่าย
ถ้าเวิคไลฟบาลาน ไม่ได้ น้อยมาก ที่จะทำงานเพื่อนายจ้างแบบแนวคิดว่านี่ก็ของของเรา ทำเต็มที่ เพราะสุดท้าย มันไม่ใช่ของของเรา ลาออกหรือเปลี่ยนงาน ก็จบ
ดังนั้น ปัจจุบัน ถ้ายังเป็นลูกจ้างอยู่ แค่ทำงานให้ได้ ไม่ขาดตกบกพร่อง พอ ไม่มีคำว่า ทำงานให้ดี ดีมาก ดีสุดๆ แล้ว
@@AnastasisGrandGrace ขอบคุณที่มาช่วยเสริมให้ครับ ตรงกับที่ผมคิดไว้เลยครับ
@@AnastasisGrandGrace จริงที่สุดเลย
อ่านขาดมากค่ะ รู้สึกเหมือนกันว่ามี bias เป็นมุมมองของผู้บริหารจริงๆ
จะทุ่มเทไปทำไมในเมื่อกติกาภายในองค์กรมันห่วย มันไม่แฟร์ ไม่เท่าเทียม สู้เอาพลังงานในชีวิตไปทำอะไรเพื่อความฝันของตัวเองดีกว่า และหัวหน้าไม่ใช่เซฟโซนเสมอไปครับ
พูดอีกก็ถูกอีกก งาน=ชีวิต โคตรไม่จริงอ่ะ ยิ่ง มนุษย์โสดแบบป้าคือ อยากให้เวลาตัวเองให้มากกกกว่านี้
เห็นด้วยค่า จุกมาก
ใช่
ลาออกเลย อย่าทำงาน ไปทำตามฝันกันดีกว่า😂😂😂
ไปเถอะครับ อันไหนดีก็ทำ เดี๋ยวเขาหาคนใหม่ทาทำแทน
ลาออกเมื่อกลางปีเพราะทำงานหนักเเต่ไม่ได้ค่าตอบเเทนที่คุ้มค่า เเละหัวหน้าทีมไม่ได้เห็นคุณค่างานของเรา เเต่โชคชะตาช่วย หลังจากที่เราลาออก หัวหน้าก็ลาออกเช่นกัน (หรือโดนบีบให้ออกก็ไม่เเน่ใจ) บริษัทเลยติดต่อ ขอให้กลับมาทำงาน ให้ค่าเเรงเพิ่มมาก มีโอทีให้ เลยรู้สึกเหมือนว่า ที่ผ่านมาเราunderpaid มาตลอด ทุกวันนี้ทำงานเเดิมเเต่เเฮปปี้มาก บางทีquiet quitting มันก็มาจาก toxic team lead ที่สร้างสภาวะการทำงานให้toxic
อย่าว่าแต่ คนรุ่นใหม่เลย
ผมอายุ 40 ทำงานมา 20 กว่าปี ยังไม่โอเคเลย ที่จะต้องทำงานหนัก มากเกินไป
ทำไมเราต้องทำงานหนัก ทำไมเราต้องแบกทุกอย่าง ไว้บนบ่า เพื่อคนอื่นมากมาย เพื่อสังคม
แล้ววิธีการ และวิถีทางการทำงาน ที่ยังล้าหลัง ไม่ปรับปรุง พัฒนาให้เข้ากับสถานการณ์ ก็ยิ่งทำให้ไม่อยากทำงานแบบนี้ต่อ วัฒนธรรมการทำงานแบบเก่า มันสร้างอุปสรรคและความลำบากให้ คนทำงาน
ยิ่งทำงานหนัก ยิ่งได้งานเพิ่ม มันทำให้หมดใจและหมดแรงมากๆเลยครับ
ผมทำงานมา 30 ปี 9 แผนก เฉลี่ยย้ายแผนกทุก 3 ปี ไม่จำเจกับงานเดิมๆ มีโอกาสสร้างผลงานในแผนกใหม่ ที่สำคัญได้ความรู้ด้วย ทั้งนี้เราต้องอาสาที่จะทำเพื่อเรียนรู้ประสบการใหม่ๆ จากพนักงานธรรมดาขึ้นสู่ระดับผู้บริหาร บรรไดทุกขั้นคือบทเรียนที่ดีที่สุด ค่อยๆก้าวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ศักยภาพอยู่ในตัวของทุกคน ขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะดึงศักยภาพในตัวเรามาใช้อย่างไร
อยู่ให้ถูกที่ ให้ถูกคน ถูกเวลา มันก็ควรค่าแก่การทุ่มเท
แต่ถ้าไม่ใช่ทั้ง 3 ทำงานหนักแค่ไหนก็เหนื่อยเปล่า
แล้วอีกอย่างทำงานหนัก กับ ทำงานให้มีประสิทธิภาพ มันต่างกัน
ผมคือคนที่ยุให้แฟนตัวเองออกจากที่ทำงานเก่า ทำงานทุกวัน งานเยอะทุกวันเลิกช้าทุกวัน ส-อ บางทีก็ต้องทำอยู่บ่อยๆ แต่เงินเดือนสวัสดิการไม่ขยับ ทำงานเต็มที่ มีไฟเต็มที แต่สุดท้ายไม่มีใครให้ค่าเท่าที่ควร มันทำให้ท้อแท้ เครียด ทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายเราก็อยากใข้ชีวิตบ้าง แต่แฟนผมทำงานเยอะมาก ลาไปเที่ยวก็ยังโทรตามงาน มันไม่สมดุลกับชีวิต สุดท้ายผมเลยส่งใบสมัครงานใหม่ให้เองเลย ที่ทำงานใหม่คือดีกว่าหลายขุม งานไม่หนักเกินไป เงินสมกับงาน สวัสดิการดีกว่า ฉะนั้นอยากบอกทุกคนว่า อย่ากลัวที่จะลาออก อย่ากลัวที่ต้องเริ่มงานใหม่ ตราบใดที่เราพัฒนาตัวเองตลอด มีศักยภาพเพียงพอ ยังไงก็มีบริษัทที่เห็นค่า และพร้อมจะรับเราไปร่วมทำงาน เพื่อพัฒนาองค์กรต่อไป การลาออก ทำงานใหม่ๆ มันก็คือการสร้างโปรไฟล์และประสบการณ์ ให้กับตัวเราเองด้วยครับ
ทำงานหนักได้ แต่มันก็ต้องมองในหลายๆมิติ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป
เราคงต้องตั้งคำถามด้วยว่า เราจะทำงานหนัก ไปเพื่ออะไร ทำงานหนักถูกงาน ถูกที่ไหม ทำงานหนักแล้วมีความก้าวหน้าไหม บลาๆๆ
เพราะมันกำลังใช้ต้นทุนที่มีค่ามากๆ ต้นทุนที่ว่า คือ "เวลา"
การทำงานหนัก คือ การทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพครับ ถ้าคนมีความสามารถจริงๆ เค้าจะหาเครื่องมือ หรือวิธีการที่ทำให้งานมันไม่หนัก แต่เมื่อไรที่เรา "พยายาม" จนถึงที่สุดแล้ว งานยังหนักอยู่ แปลว่าบริษัทนั้นระบบงานมีปัญหาแล้วหละ ส่วนตัวคงไม่อยู่ยาวๆ กับบริษัทแบบนี้ เอาไว้เป็นแค่โปรไฟล์ไว้อัพเงินเดือน
ยกตัวอย่าง
ผมอยู่ big4 อยู่จนเงินเดือนพอใจ เก็บชั่วโมงครบ ก็ออกเลย เททุกอย่าง ไม่สนว่าใครจะรับงานไปต่อ ช่างแม่งมัน ย้ายไปอีกที คือสบายกว่ามาก ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องทำ OT ไม่ต้องอยู่จนตี 3-4 แล้วเข้างานอีกที 9 โมง และเท่าที่ทราบมา เด็กจบใหม่ก็แทบไม่อยากทำงานกับ big4 ด้วยนานๆ แล้ว ถึงจะเป็น Global company ก็ตาม
ส่วนใครที่มาแนะนำให้ prioritize งาน กับพวกที่ทำ Big4 อันนี้คือ คุณไม่เข้าใจงานคนอื่นเลย ท่องจำมาแล้วมาพ่นความรู้เฉยๆ ระวังจะโดนด่ากลับ มันลดไม่ได้ เพิ่มคนไม่ได้ แต่งบต้องส่งภายในกำหนดหลักๆ มีแค่นั้น ทุกอย่างสำคัญหมด
ด้วยผลกระทบจากการอยู่ Big4 ทำให้เกลียดคนที่เป็นประเภท productive ที่สุด เวลาเจอคนมาพูดแนวนี้ จะไม่ฟัง ต่อต้าน เบ้ปาก ไม่ให้ความร่วมมือ
คนรุ่นเก่าก็เป็น พอทำงานไปถึงจุด ๆ นึง ตำแหน่งมันก็จะตันไปต่อไม่ได้ ไม่มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานแล้ว มันก็จะหมดไฟไปเอง เพราะขยันให้ตายยังไงมันก็ตำแหน่งเท่าเดิม บวกกับอายุที่มากขึ้นจะหางานใหม่ก็ยาก ก็เลยทำตามหน้าที่ไปวัน ๆ ก็พอ
แค่ทามไลน์มันสั้นกว่าเพราะโลกมันหมุนไวกว่า
@@user-uv5bp2rf9f ยังมีคนติดตามเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจคนยากจนอีกหรอ
ก็ยังยึดติดกับความเป็นมนุษย์เงินเดือน
ที่มีรายได้เข้าประจำแน่นอน
เลยไม่กล้าเริ่มงานของตัวเอง ที่ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงตัวเองได้หรือไม่
มันเป็นเฉพาะคนที่ไม่อยากพัฒนามากกว่า คนที่ชอบทำงาน เค้าจะมองหาสิ่งใหม่ พร้อมพัฒนาตัวเองเสมอ ทุกวันนี้คนอายุ60ก็หาอะไรทำที่ยังสร้างรายได้ได้อยู่ เป็นที่คนมากกว่า...
งานประจำมีข้อจำกัด บางครั้งต้องออกมาทำเองหรือเปลี่ยนงาน
คนรุ่นเก่า ก็ไม่เชื่อ เรื่องการทำงานหนัก แล้ว จะได้ดี หรือก้าวหน้าค่ะ พี่ อายุ 55 แล้ว ทำงาน ต้องฉลาด มีพรรคพวก
บริษัท Quiet Firing ล่ะ บังคับเรียน บังคับฝึกสกิลเพิ่ม แต่ไม่ปรับตำแหน่ง ขึ้นเงินเดือนต่ำกว่าเงินเฟ้อ รับคนใหม่มา เงินเดือนเยอะกว่า ตำแหน่งสูงกว่า มันสนับสนุนให้ออกไปหางานใหม่ชัดๆ
ผมรู้สึกว่าการทำงานหนักไม่ได้ทำให้เจริญจริงครับ
Place People Price
ต้องครบ 3 อย่างนี้ึครับ
ถึงจะคุ้มค่าแก่การทำงานหนัก
- ทำแทบตาย ถ้าผิดที่ก็เหนื่อยฟรี
ถ้าอยู่ในที่เค้ามองเราเป็นเครื่องจักร
- ทำแทบตาย ถ้าคนไม่เอาด้วย
หรือ ไม่ทำ แต่รับผลประโยชน์จากเรา
ผมก็เลือกที่จะไม่เอาด้วย
- ทำแทบตาย ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม
ด้วยคำตอบว่า เป็นไปตามระบบ
แต่ย้ำนะครับ จงทำงานหนัก
แบบที่ตัวเองมีกำลังทำได้
แม้ที่ทำอยู่องค์กรจะไม่ให้ค่า
อย่างน้อยก็มีพอร์ตไปสมัครที่ใหม่ครับ
เรื่องธรรมดาของโลกที่เปลี่ยนไป เพราะบางทีมนุษย์เราเองจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคำว่า "ทำงานหนัก ถึงจะได้ดี" ที่ยึดถือกันมาเนิ่นนานนั้น คือสัจธรรมที่ถูกต้องสูงสุด หรือมนุษย์แค่ถูกบิดเบือนด้วย "ระบบ" บางอย่างที่หล่อหลอมความเชื่อนี้จากรุ่นสู่รุ่น
การหาเงินมันก็มีหลายวิธีน่ะถูกแล้ว
ซึ่งการใช้แรงแลกเงินมันก็เป็นวิธีหนึ่ง
มันมีอีกเช่น
1.แรงแลกเงิน
2.ความรู้แลกเงิน
3.ดวง เสี่ยงโชค
4.ความเป็นตัวของตัวเอง เช่น ดารา แบรนด์เนม
5.ต่อยอดธุรกิจครอบครัว
อาจมีอีกแต่หลักๆก็5ข้อนี้แล้วแตกแขนง ความจำเพาะยากง่ายไปครับ
แปลกจัง! ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ในชีวิตการทำงาน ทำอย่างเต็มที่ เต็มประสิทธิภาพ แล้วก็ได้ดีตลอด แค่อยู่ให้ถูกที่ ถ้าตรงนี้ไม่ใช่ ก็ไม่ต้องทน ไปหาที่ที่ใช่ แล้วทำให้เต็มที่ ก็ได้ดีนี่หน่า อายุ 46 มีความสุขบ้าง ไม่มีความสุขบ้าง แต่ไม่เคยหยุดใส่ใจ ตั้งใจ ในการทำงานเลย
เยี่ยมครับ
ขึ้นอยู่กับ ทัศนคติของแต่ละคนจริงๆ เนอะเรื่องนี้
ทำงานหนักอ่ะทำได้ครับ ถ้าทำแล้วรู้ว่าเป้าหมายของงานคืออะไร เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วองค์กรได้อะไร แล้วมีผลตอบแทนที่ดีต่อตัวเรายังไง(ผลตอบแทนที่ไม่ใช่แค่ทำให้เราเก่งขึ้นเฉยๆนะครับ)
ถ้าเป็นงานที่สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ อันนี้น่าทำครับ แต่ถ้าเป็นงาน routine ควรทำในปริมาณที่เหมาะสม ไม่หนักเกินไปดีกว่าครับ ชีวิตเราไม่ได้มีแค่งานอย่างเดียว ถ้างาน routine มันหนัก นั่นแปลว่ามีแรงงานไม่พอครับ
เป็นมาสักพักนึงแล้ว Quiet quitting บางองค์กรต่อให้ทำงานแทบตาย ขยันแค่ไหนแม่งก็เสียเวลาชีวิตเปล่าๆ เสียสุขภาพจิต
งานที่ทำอยู่เหนื่อยมาก ส่วนหัวหน้าสบายเดินไปเดินมา เห็นแล้วอยากสบายมั่ง เลยเดินไปหาเจ้าของบริษัทบอกว่าอยากเป็นซีอีโออยากสบาย เท่านั้นแหละสบายเลย โดนไล่ออก ไม่ต้องเหนื่อยกับงานอีกแล้ว สบายแล้วกรู
คุณเค็นครับผมอยากส่งคลิปนี้ให้บริษัทและหัวหน้าผมมาก แต่คลิปไม่มี CC ที่เป็นเป็นภาษาญี่ปุ่นครับ
ผมเชื่อว่า ช่องคุณเค็นเป็น International Perspective และสามารถพฒนามุมมองคนได้ ไม่ใช่แคคนไทยแต่สามารถเปลี่ยนแปลงมุมมองของการทำงานของบริษัทข้ามชาติที่ตั้งอยู่ในไทยได้เช่นกันนะครับ
หวังว่าคลิปดีๆจะมี CC ด้วยนะครับผม🙏🏼
ติดตามเสมอครับ
ช่องคุณเค็น เป็นช่องหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดมในทางที่ดีขึ้นครับ
ขอบคุณครับ
ส่งไปแล้วไปหางานใหม่นะ 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
บ.ญี่ปุ่น....คงเปลี่ยนอะไเขาไม่ได้หรอกครับ...เขา design วัฒนธรรมของเขามาแล้ว ให้กดดันกันเอง ไม่งั้นเขาคงไม่ฆ่าตัวตายรายวันหรอกครับ ขนาดคนญี่ปุ่นที่ถูกส่งมาทำงานในไทย พอหมดวาระต้องกลับญี่ปุ่นแล้ว กลับไปก็ฆ่าตัวตายกันเยอะครับ เพราะอยู่ไทยมันสบายไม่กดดันมากทั้งสังคม และวัฒนธรรม
แต่หลายคนก็ไม่ยอมกลับญี่ปุ่นแล้ว ยอมลาออก แล้วหางานใหม่อยู่ไทยยาวๆ ไปเลย บางคนอยู่ไทยยาวมา 8 ปีแระ ไม่เคยกลับญี่ปุ่นเลย เด็กบางคนอายุแค่ 20 ต้นๆ เองก็เบื่อไม่ยอมกลับ ยอมหางานในไทยรับเงินเดือนเท่าคนไทยดีกว่ากลับไปเครียด....100 ทั้ง 100 คนญี่ปุ่นที่ถูกส่งมาทำงานในไทยไม่มีใครอยากกลับสักคน หาแต่งงานกะคนไทยอยู่ไทยยาวๆ ไปเลย...ขอให้ท่านโชคดีนะครับ....
การทำงานหนักอาจจะเป็นหนทางสำเร็จสำหรับบางคนจริง แต่โลกนี้มีความว่า work smart ซึ่งเป็นอีกหนทางที่ประสบความเสร็จได้เหมือนกัน
กว่าจะ smart มันก็ต้องทุ่มเททำเยอะๆนั่นแหละ
@@veryrichman smartไม่จำเป็นต้องทำซ้ำเสมอไปครับ
ไม่รู้ดิ แค่รู้สึกว่า ทุ่มเทไปก็เท่านั้น
เคยทดสอบกับตัวเอง ขยันแบบสุดๆ 6 เดือน กับทำงานเรื่อยๆเช้าชามเย็นชาม 6 เดือน
ผลลัพธ์ ช่วงขยัน ไม่มีอะไร.....โดนชมที่ปิดงานได้ดีไปรอบ ช่วงเช้าชามเย็นชาม ก็ไม่มีอะไร อาจโดนมองด้วยสายตาเย็นชานิดหน่อย(คิดไปเองมั้ง)
ในฐานะลูกจ้าง ก็ต้องการเงินที่คุ้มกับการลงทุนลงแรง
เข้าใจว่าในฐานะเจ้าของ ก็ต้องการต้นทุนราคาถูก ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นทุนยิ่งถูกยิ่งกำไรดี หรืออย่างน้อยก็ทำให้แข่งขันกับคู่แข่งได้ง่ายขึ้น
เอาล่ะ........ทีนี้ใครจะถูกหรือใครจะผิด เอาจริงๆการหาจุดสมดุลคือสิ่งที่ถูกแต่ทำได้ยาก
จากการที่ประสบมาเอง มันไม่ใช่การปฏิเสธงาน 100% ถ้าให้ทำงานก็ยังทำได้อยู่ ยัง Deliver ได้ แต่ไม่อยากดันเพดานการทำงานแล้ว ทำตาม Job Descirption ของตัวเองจริง ๆ
เป็นผลจากการที่บริษัทรีดประสิทธิภาพมาตลาดช่วงที่ผ่านมาแล้วไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดของบริษัท ลางานต้องเอาคอมไปนั่งประชุมด้วยเพราะบอกว่างานด่วน ต้องช่วยกัน
ไม่ใช่ว่าไม่เต็มที่ เพราะก่อนหน้านี้คือช่วยทีมแบกจนหลังหักแล้ว แค่ไม่อยากไปต่อกับ Way of Working นี้แล้ว
ถ้าให้ต้องแก้ ต้องแก้ที่ Way of Working ของทีม แล้วก็การมี Mentality Leave ให้ได้ปิดคอมไปพักจริง ๆ
ทำงานหนักไม่ว่า แต่เจอเจ้านายเก่งเหลือหลาย ลูกน้องพูดอะไรก็เบรคตลอด ข้าเก่งข้ารู้ นำเสนออะไรก็ไม่ค่อยจะจบให้ปรับโน่นนี่นั่นตามความคิดของตัวเอง ขัดแย้งกับนโยบายของผู้บริหารที่อยากให้ทุกคนมีอิสระในความคิด ชึวิตจริงกลับถูกปิดกั้นซะงั้น วันดีคืนดีออกมาบ่นว่าหน่วยงานไม่สามารถสร้างคนรุ่นใหม่มาทดแทนได้ .... ถามจริงทำแบบนี้คงมีคนรุ่นใหม่มาทดแทนได้ยังไง
ตามความเข้าใจของผม สาเหตุแบบนี้มันไม่ได้เพิ่งเกิด แค่เราเริ่มมาตั้งชื่อมันเท่านั้นเอง แต่คำถามคือ ทำใมคุณต้องทนอยู่ในองกรณ์ ส่วนนึงก็เพราะคุณไม่มีความสามารถพอ ที่จะสามารถย้ายงานได้ (ในคลิปนี้เองก็บอกว่าเป็นสาเหตุนึง) เพราะผมเอง ก็เป็นคนที่ไม่มีแรงมากพอจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองกรณ์เช่นกัน ทำได้แค่ย้ายตัวเองไปในที่ๆเหมาะกับเรา แต่จะไม่ยอมทำงานไปวันๆแบบเป็นทุกข์แน่ๆ
Jumping to the organization where you fit in is the answer. When you're in the place where you feel "sufficient" then you'll have just few conditions not to put best efforts into your job.
ทุกวิกฤต มีโอกาสค่ะ ทั้งผู้นำและผู้ตามค่ะ..
จริงค่ะ.1.การจัดลำดับความสำคัญ
ในโอกาสที่งานทำเท่าไรก็ไม่หมด..
อยากทำงานเพื่อได้เงินมาเลั้ยงตัวเองและทำตามฝันส่วนตัว เช่น ไปเที่ยว ลงทุนต่อยอดว่าไป แต่นี่ ทำงานหนักที่ทุกวันนี้คือ ทำงาน 6 วัน และสารพัดความไม่เป็นธรรมที่แอบซ่อนอยู่ เวลาชีวิตทั้งหมดเหมือนถูกทิ้งไปกับงาน ไม่มีเวลาได้ทำความสุขอะไรนอกเวลางาน ได้เดินเล่น นั่งเล่น เล่นเกม ไปกินข้าว ไปเที่ยว ส่วนตัวเจอมา และก็บริษัทก็คงจะอวยพรส่งกันไปให้ไกลๆแล้วละ มันไม่ยุติธรรมแบบมากที่าดในชีวิตความเป็นคน เราจะทนไปให้เสียสุขภาพจิตทำไม เสียชีวิตได้เลยนะนั่น มันเเล้วแต่คนมองจริงๆ แต่อยากใฟ้ทุกคนที่มองต่างมุมเข้าใจอย่างหนึ่งว่า "คนเราความอดทนไม่เท่ากัน ต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน" อย่าเอาตัวเองมาวัดและตัดสินว่าใครอ่อนแอหรือเเข็งแกร่งกว่าใคร 🙃
ถ้าทำหนักแล้วมันได้ตามที่ก็ดี แต่ถ้าทำแล้วได้ไม่คุ้มก็อย่าไปทำ
ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็น แล้วก็รู้สึกมีคำถามว่าทุนนิยมแบบที่เราเป็นอยู่ ความเร่งรีบในการทำงาน การทำงานแทบทุกวัน การกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ทำงานเร็วขึ้น เพื่อออก iPhone ทุกปี การแข่งขันแย่งชิงความเป็นเจ้าของแต่ละอุตสาหกรรม ผมได้แต่สงสัยว่าเรามาถูกทางจริงๆ หรอ ผมว่าคำถามที่ว่าเราจะลดภาวะโลกร้อนยังไง คำตอบง่ายๆ ก็แค่ลดกำลังการผลิต ลดขนาดเศรษฐกิจ แค่นั้นเอง แค่นั้นจริงๆ เวลาเราวิ่งแล้วเหนื่อย การวิ้งเร็วขึ้นคงไม่แก้ปัญหา
อยู่ที่ผลประโยชน์ครับ เจ้าของธุรกิจคือคนที่รายได้เพิ่มตามความขยัน ยื่งทำยิ่งได้ แต่ลูกจ้างจะได้มากได้น้อย ขึ้นอยู่กับความพอใจของนายจ้าง ความพอใจในที่นี้ ไม่ใช่ความพอใจในผลงาน แต่เป็นความพอใจในตัวบุคคล หรือบางทีก็เป็นความพอใจในกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ บางที่ไม่ได้สนใจผลงาน สนใจแค่พฤติกรรม จึงเกิดลูกน้องที่พยายามตีสนิทและสร้างความไว้ใจกับผู้บังคับบัญชา มากกว่าจะสร้างผลงาน
ต้องลองไปรับราชการดูค่ะ แล้วจะเห็นว่าการทำงานด้วยปากนั้นทำให้คนได้ดีได้จริงๆ :')
ผมเปลี่ยนงานแทบทุกปี เมื่อมีโอกาส เข้ามาก็รีบคว้าไว้ ไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่ เพราะที่เก่าก็ไม่สามารถจ่ายได้มาก ขึ้น รอสมัครงานบริษัทที่อยากได้มา2 ปี กว่าจะได้ ทำงานหนักได้ แต่ถ้าทำหนักแล้วก็รู้สึกว่าชีวิต ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเท่าไหร่ จนตอนนี้ก็ได้บริษัทอันดับต้นๆของโลก มีการเติบโตที่ดี ส่วนตัวผมไม่กลัวทำงานวันนึง 10-14ชม แต่รายได้ก็คุ้มที่จะแรก
มันทำให้รู้สึกท้อ เวลาที่รายได้ เดือนชนเดือน ทำงานเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะค่าใช้จ่าย มันก็เพิ่มขึ้นตลอด ถ้าเราไม่เรียนรู้ ตามไม่ทัน ก็แพ้ไป
ถ้าคุณเลือกงานและผลตอบแทนพอใจแล้ว คุณก็ทำไป เมื่อวันนึงคุณมีงานเพิ่มขึ้นจนรู้สึกไม่ไหวก็ให้แจ้งกับทางบริษัท ถ้าแก้ไขไม่ได้ คุณก็ลาออก แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ มันส่งผลเสียกับบริษัทเขา ถ้าจะทำชิลๆก็ให้เลือกงานใหม่ดีกว่า เพราะไม่งั้นคุณจะอยู่แบบโดนกดดัน
พี่เคนพูดได้ดีมาก อยากทำงานด้วยจังค่ะ ^^ ติดตาม ทุก ep และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ
ก็อยากเจริญเติบโตในการงานอยู่หรอกครับแต่ถ้าแก่ตัวแล้วต้องไปนอนแบ่บบนเตียงนี่ขอผ่านครับ
คนรุ่นใหม่ฝันที่จะเป็นเจ้าของกิจการตัวเอง แต่ความจริงเรื่องหนึ่งคือ ก่อนจะเป็นนายที่ดี ก็ควรเป็นลูกน้องที่ดีก่อน การทำงานเป็นลูกน้อง เป็นลูกจ้าง คือโอกาสที่จะได้เรียนรู้งาน พัฒนาตัวเอง อะไรไม่เป็น ก็มีโอกาสฝึกให้เป็น อะไรไม่รู้ ก็มีโอกาสเรียนรู้ ถ้าเป็นคนที่ขวนขวาย คิดเสมอว่า เราได้พัฒนาตัวเอง ได้ความรู้ แล้วยังได้เงินเดือนอีกด้วยนะ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราต้องจ่ายค่าเทอมถึงจะได้ความรู้นะ ถ้าคิดแบบนี้ ตั้งใจทำงาน นอกจากพัฒนาตัวเอง ยังสร้าง connection ถึงวันหนึ่งเมื่อพร้อม ก็สามารถเริ่มกิจการตัวเอง ได้อย่างมีแต้มต่อ หลายคนทำงานเก่ง จนลูกค้า คู่ค้า คนนอกบริษัทยอมรับ มองเห็น พอออกมาเป็นเจ้าของกิจการเอง ก็ได้รับการสนับสนุนจากคนเรานี้ ... แต่ถ้าตอนเป็นลูกจ้าง หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไม่ถือโอกาสพัฒนาตัวเอง ทำงานเช้าชามเย็นชาม ทำงานไม่เป็น คนนอกบริษัทที่ต้อง deal งานด้วยยังเบื่อหน่าย ทำตัวแบบนี้ น่าเสียดายเวลา และโอกาสมากครับ
จริงค่ะ ถ้าจะยอมทำงานหนักเลือกดีกว่าไม่คิดว่าทำงานหนักทุกอย่างจะได้ดี100%เสียเปรียบด้วยซ้ำ
ตอนนี้เราได้ยินคำนิยามมากมาย เกี่ยวกับการทำงาน กูรูให้คำแนะนำเต็มไปหมด เราควรคิดอย่างนั้น รู้สึกแบบนี้ ถ้ามีมายเซตแบบนี้แม้แต่ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องทำงานยังยาก อย่างที่รู้ๆกัน AI พัฒนาไปมาก สามารถทำงานแทนคนได้มากแล้ว แต่ล่ะงานมันมีเป้าหมายอยู่ ถ้าทำไม่ถึงเป้า เค้าก้อเอาคนใหม่มาทำ( ฟังดูอาจโหดร้ายแต่จริง!) องกรค์ สมัยนี้จะไม่ง้อพนักงาน นอกเสียจากจะสำคัญจริงๆ...... ไม่ว่าจะ gen ไหน ถ้าไม่พยาม ไม่ปรับตัว ไม่ปรับมายเซตตัวเอง.....รู้ตัวอีกทีจะสายเกิน...
ผมถึงตัดสินใจไม่มีลูกอย่างเด็ดขาด กลัวเขาเกิดมาแล้วต้องมาเป็นฟันเฟืองให้เครื่องจักรเศรษฐกิจ ที่มีแน้วโน้มเดินเครื่องเกินกำลังเข้าไปทุกวัน
คุยกับหัวหน้าตรงๆแล้วค่ะ ไม่มีโซลูชั่นอะไรให้เลย รับฟังอย่างเดียว ก็เลยเลือกที่จะquiet quitting
เจอหัวหน้าบ้างาน ทุกวานสำคัญ รีบไปหมด ไม่รู้จักสมดุลชีวิต คนแบบนี้บริษัทชอบ แต่ทุกข์ของลูกน้อง
เพราะสวัสดิการคุณภาพชีวิตขั้นต่ำ+สมบัติที่พ่อแม่ทิ้งใว้ให้ การศึกษาที่พ่อแม่ฟูมฟักให้ มันสูงเกินการเอาชีวิตรอดในธรรมชาติไปนานแล้ว
มันไม่เหมือนกับยุคที่สังคมไม่มีอะไรให้ พ่อแม่มีอะไรให้ จึงต้องดิ้น ให้คนอื่นตายก่อน ตัวเองตายที่หลัง
ไทยเรามีแต่จะเน้นให้ทำงานหนักขึ้น แต่เงินที่ได้ไม่เพียงพอจะตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ในขณะ ที่คนรวยๆ รวยขึ้น นั้นคือมีการเอาเปรียบคนทำงานมากเกินไป จนคนทั่วไป ไม่ว่าจะทำงานหนักอย่างไร คุณก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
บางทีคนทำงาน จะเจอปัญหา แล้วอยากจะแก้ด้วยแนวทางแบบนึง แต่นายจ้างไม่เข้าใจจริง ก็จะให้แก้อีกแบบนึง มันเกิดซ้ำๆซาก มันเลยเกิดการต่อต้านในใจเพราะแนวความคิดไม่ตรงกัน ก็มี
ผมทำงานตามวัฒนธรรมอเมริกันเลยครับ คือต้องเคลียร์คิววันนั้นให้หมด ไม่หมดไม่เลิก ในเมื่อระบบมันเฮงซวยหลังๆ ก็ไม่สนใจละ ผมออกแบบระบบของตัวเอง ใช้แอป Focus Assist ตั้งเวลาทำงานจัดการเวลาเอง ในเมื่อเบื้องบนจัดการไม่ได้ก็จัดการตัวเอง พักเอง อู้เอง อ้างว่านี่คืออิสระ งั้นผมก็มีอิสระในการออกแบบระบบงานของผมเอง และแน่นอน ผมไม่ออก ออกแล้วจะเอาไรแดก
ผมคงเป็นนึ่งในนั้น ซึ่งทำงานมา12ปี อายุปีนี้ก็31แล้ว ทำงานไปไม่เห็น อนาคตเลยครับ เห็นแค่ปัจจุบันกับอดีต
ถ้าการอยากเติบโตในงานที่มีแค่ ตำแหน่งเดียวคุมคน 100 คน หรือ การปรับเงินเดือนสูงสุดอยู่ที่ 5% มีแค่ไม่กี่คน วัฒนธรรมที่มีความสนิท ผลงาน และคนของใคร มาเกี่ยวข้อง การได้เป็นอันดับรองที่ปรับเงินเดือน 4% และ ตำแหน่งเดิม ก็เป็นสิ่งที่ตอกย้ำซ้ำๆให้เกิดภาพอนาคต การทำงานหนักมีราคาที่ต้องจ่ายคือ สุขภาพ ร่างกาย และ ข้อจำกัดที่เพิ่มตามอายุ หากผลตอบแทนไม่ได้ดีขึ้น การทำสิ่งที่รักษาตัวเองให้เสื่อมสุขภาพลงจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ต้องพัฒนาตัวเอง เเละเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ วันนึงคุณอาจจะพร้อมที่ เป็นนายตัวเอง มีกิจการเอง
ค่าของคนคือผลของงาน ไม่จริงเสมอไปแล้ววว ป้าคือ millennial คนนึงที่เมื่อก่อน judge คนรุ่นใหม่ฯ แต่เดี๋ยวนี้ ขออยู่ทีม quiet quitting 😅🤣
พอดีมีปัญหานิดหน่อยในที่ทำงาน โดนสั่งย้าย แต่ปลายทางยังไม่มีที่ว่าง เลยรอย้ายอย่างเดียวเลยครับ อยู่ไปวันๆ ไม่อยากทำไรละ ก็ย้ายเราแล้วนี่ รอปรับปรุ่งตัว เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่ทำงานใหม่ทีเดียวเลยครับ
ไม่เชื่อเช่นกัน ไม่ใช่เป็นคนรุ่นใหม่ (อายุเลข4แล้ว) แต่ได้จากประสบการณ์ชีวิตล้วนๆ จะสำเร็จได้คุณต้องpresentเก่ง ค่าของคุณคือคุณเป็นคนของใครค่ะ 😏
จะไม่ quiet quitting ได้ไง cover งานแทน manager มาเป็นปี เลเวลเราก็ไม่ได้สูงแต่มันไม่มีคนแล้วก็เลยต้องทำ ต้องทำเกินตัวโดยจำใจด้วย แต่ก็ไม่มีการโปรโมทให้ หมดใจจริงนะ หมดใจจนเดินไปลาออก เท่านั้นโดนเคาน์เตอร์เลย ทำแบบนี้มันส่งสัญญาณอะไรให้พนักงานอะ ก็คือทู่ซี่ทนทำไปสิ ทำงานหนักเธอก็อยู่ที่เดิม แต่ turnover rate สูงเราก็จะรั้งเธอไว้ แต่ระหว่างนี้ก็จะขอใช้เธอให้หนำใจ ให้เธอทำงานที่เกิน JD ให้บริษัทอย่างคุ้มค่าเสียก่อน เนี่ย ไม่หมดใจได้ไง
จ้างมาเท่านี้ ก็ทำเท่านี้ ก็แฟร์แล้ว อยากให้ทำมากกว่านี้ก็โปรโมทค่ะ ไม่ใช่มาเอาเปรียบแรงงาน
ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีแบบนี้มาตลอดแหละ แค่ทำที่ใช้เรียกมันเปลี่ยนไป มันก็คือสมัครใจที่จะทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม
เมื่อไร จะทำงาน 4 วัน หยุด3 วัน , หลาย ปท เริ่มแล้วน่ะ
ใช่เลยผมเป็นอยู่ ที่สุดแล้วจุดหมายก็เหมือนกัน
บ้าน รถ และก็ชีวิตหลังเกษียณ ทำงานเพื่อเก็บเงินไว้รักษาตอนแก่
สำหรับเรา การทำงานหนัก เหมือนการทำแบบฝึกหัด ยิ่งหนักยิ่งแม่นยำ
มุมคนที่เคยเป็น quiet quitting งานยังทำ และทำแบบหนักหน่วง แต่ความใส่ใจ ความทุ่มเท ไม่เหมือนเดิมพร้อมกับไฟที่ค่อยๆๆหมดลง
ในวันนี้ที่เป็นเจ้าของกิจการ การทำงานเติบโตจากพนักเล็กๆทำให้เข้าใจและพยายามให้ทุกอย่างเป็นกลางและอยู่แบบมีความสุขในการทำงานร่วมกันอย่างที่สุด ปัจจัยบางอย่างเมื่อเป็นเจ้าของกิจการเราจะเข้าใจอีกมุมมองหนึ่งที่พนีกงานอาจไม่เข้าใจด้วย แต่ยังเชื่อว่าการทำงานหนักตั้งแต่เด็กยังดีเสมอ
การทุ่มเทการทำงาน ืำให้เป็นบุคคลที่ดีที่สุด จึงทำให้หาคนที่มาแทนไม่ได้ จุงทำให้คนนั้นยต้องทำงานตำแหน่งเดิมยาวนาน นี่ึือสาดหตุครับ
ผมเรียนรู้จากที่บ้านครับ คนที่บ้านทำงานหนักมาก สุดท้ายได้แค่ บ้าน กับ รถ เมื่อถึงวัย 60 ก็ไม่ได้รวยเลยครับ เพราะพวกเค้าไม่ศึกษาเรื่องการลงทุน เรื่องการ Money Management เรื่องนี้สำคัญมากกว่าครับ
ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ แค่เอาตัวเองลุกขึ้นมาทำงานก็เหนื่อยพอมากแล้วครับ จะต้องทุ่มอะไรให้กับองค์กรเยอะขนาดนั้น
We may have to do that ka, but it is hard to do for Asian.
มันเป็นเพราะ GDP ประเทศเราโตตํ่ามานาน มันเลยส่งผลให้การหางาน หรือการเติบโตในสายงานยากขึ้นรึเปล่าครับ?? เพราะอย่างสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ การขยายกิจการก็เป็นเรื่องยากขึ้น
มิน่าเค้าถึงพัฒนา Ai และเครื่องจักรอย่างหนักหน่วงทำงานกับคนมันยุ่งยาก อนาคตก็ธรรมชาติคัดสรรแล้วแหละ คนที่เก่งจริงถึงจะรอด คนรวยก็รวยต่อไปเค้าก็ใช้เครื่องจักรและแพลตฟอร์มทำงาน ชนชั้นกลางเหรอ ตะเกียกตะกายกันต่อไป ก็น่าสงสัยนะว่ามนุษย์เราจะเป็นอย่างไรต่อไป
ส่วนตัวยังเชื่อในเรื่องของความขยันและการทำงานหนัก ใครทำเยอะก็ได้เยอะ ซึ่งมันก็ตรงไปตรงมา
แต่ติดตรงที่ว่า บางทีขยันทำงานแต่คนข้างบนไม่เห็นคุณค่า/ไม่เคยให้เครดิต/หรือไม่เคยแม้แต่คำเอ่ยชม คิดว่ามันคืองานที่คุณ"ต้องทำอยู่แล้ว" แบบนี้ก็เลี้ยงใจลูกน้องได้ไม่ยาว
พอทีมงานหมดใจ งานไม่คืบหน้า หัวหน้าไม่คิดวิเคราะห์ปัญหา หนำซ้ำยังกดดันให้ทำงานหนักขึ้น ลูกน้องจะหมดใจก็ไม่แปลก
เลยคิดว่าคำกล่าวทำงานหนักแล้วได้ดี มันก็ไม่แน่นอนเสมอไป ปัจจัยแวดล้อมมีผลเยอะจริงๆ
ความเครียดจากการทำงานพอได้หยุดพัก 3 ปี กว่าจะหาย
15:40 แล้วถ้าบริษัทไม่เคยจ่าย OT แต่สั่งงานหลังเลิกงาน สั่งงานให้ทำเสาร์อาทิตย์ที่เป็นวันหยุด เราควรทำไหมครับ?
ไม่ควรค่ะ
เชื่อว่าพนักงานส่วนใหญ่เต็มที่กับงานที่เขาเห็นว่ามีคุณค่า ทำมากก็ไม่รู้สึกว่าหนัก เพราะมีใจอยากทำให้สำเร็จและภาคภูมิใจที่ได้ทำ
ปัญหาน่าจะเกิดจากความเห็นต่างถึงคุณค่าของงานนั้นๆ เมื่อหัวหน้างานหรือองค์กรไม่พยายามมากพอที่จะทำให้พนักงานมองไปในทิศทางเดียวกัน แต่ใช้อำนาจและลำดับชั้นในองค์กรขับเคลื่อน มันก็จะเคลื่อนตัวได้ช้า และเมื่อผู้บริหารนึกโทษและส่งแรงกระแทกว่าเพราะพนักงานไม่พยายามพอ มันก็จะเกิดอารมณ์เป็นพิษแบบต่างๆ ในองค์กร เหมือนเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายชอนไชเข้าไปในอวัยวะต่างๆ ทำให้ไม่สบายตัว แต่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดค่ะ
อันนี้ไม่ได้ทำคลิปเพื่อพูดถึงคนในองค์กรตัวเองใช่มั้ยครับ
ทำง่ายๆ ก็ต้องทำให้ถูกทาง
อ่อ คำใหม่หรอ ผมทำแบบนี้มา 2 ปีละ เพราะมันเหนื่อยไฟแรงไปก็เท่านั้น ไม่ได้อะไรกลับมา เอา Passion ที่มีไปทำกับงานอดิเรก หรืองานนอกเวลาดีกว่า ส่วนน้องที่กำลังหางาน อย่ามาทำงานภาครัฐนะครับ ถ้าไม่อยาก Quiet Quiting ก่อนกาล
เราทำเอกชน บ.ระดับโลกยังเป็นเลยค่ะ ไม่สมดุลกับชีวิต เหนื่อยแบบไม่คุ้มที่เสีย ก็บายดีกว่า
รุ่นเก่าหรือใหม่อยู่ที่นายงานเข้าใจว่าชีวิตต้องสมดุลย์กับงาน(บริหาร)ค่ะ
สรุปดี๊ดีค่ะ♥️
หนักคือมันหนักไป นายจ้างไม่อยากจ้างคนเพิ่ม แต่งานมากกว่าเดิม ต่อให้ขึ้นค่าจ้างให้ แต่ถ้างานมันเยอะไป มันก็ไม่ไหวอยู่ดี , ทำแต่งานหาเงินมา แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน หรือต้องใช้เงินเพื่อรักษาร่างกายที่พังเพราะงาน ก็ปล่าวประโยชน์ ถ้าค่าแรงเพิ่มแต่ค่าครองชีพเพิ่มสุดท้ายก็เหมือนเดิม ถ้าเงินที่ได้มันแค่พอกินพอใช้ไปเดือนๆ มันก็ไม่ต่างจากทาส ที่มีอยู่มีกิน แต่ไม่มีอนาคต
ถ้าแรงงานเป็นแบบนี้กันหมด เราอาจจะอยู่ได้ยาก แต่คนรวยจะกลับมาง้อแรงงาน
พี่ดูแลสุขภาพยังไงบ้างครับ ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับ
ทุกวันนี้เจอลูกอาททิตย์ละครั้ง หยุด อาทิตย์ละ1วัน งานเคยเสร็จตอนเที่ยงคืนครึ่ง รับผิดชอบหลายหน้าที่จนล้นมือและโดนตำหนิรายละเอียดที่เราพลาดโดยนายจ้างไม่เคยชื่นชมหลายจุดที่เราทุ่มเทให้ อยากพักมากค่ะ
ผมเห็นด้วยกับคนรุ่นใหม่ครับ
แต่ที่ผมเจอตอนนี้ต้องสอนงานรุ่นน้องหลายคนที่เจอหัวจะปวด ชอบงานสบาย ทำงานไปเล่นมือถือดูซีรี่แชทกับเพื่อน งานก็ช้างานไม่เสร็จค้างเต็ม ฝ่ายอื่นที่รับานต่อก็โทรมาบ่นที่คนสอนงานว่าเด็กคุณค้างงาน จะบ้าตาย
คำว่า ทำงานหนัก ความหมายมันค่อนข้างต่างกันมากนะ ระหว่าง หนักแบบโง่ๆ ทำงานไปวันๆ เน้นปริมาณ ระบบแย่ๆ กับ หนักแบบที่คนฉลาด ที่คนขยัน และ ประสบความสำเร็จ เค้าคิดกัน
ความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ว่าพวกเค้าไม่เชื่อว่าทำงานหนักแล้วได้ผลดีครับ อันนั้นเรียกขี้เกียจ แต่เชื่อว่าทำงานหนักกับสิ่งอื่นแล้วได้ผลดีกว่า ฉะนั้นสิ่งที่ทุ่มเทให้กับบริษัทจะน้อยลง หรือ แทบไม่มีเลย
ไม่ใช่ทุกคนที่อยากพัฒนาในด้านการงาน แค่มาทำงานหาเงินใช้จ่ายใช้ชีวิตไป บริษัทรับเค้าก็เอา ถ้าบริษัทไม่โอเคก็อย่ารับทำงาน หรือไม่ก็เชิญออก บริษัทจะได้คนใหม่ด้วยที่ตรงตามความต้องการ (อย่าเอาไปโยงการเมืองนะ)
การที่คิดไม่ตกผลึกเรื่องการทำงานหนักให้พลังความก้าวหน้ามากกว่าจากคนรุ่นกุมารทอง อยากรวยด้วยการเอาเปรียบเป็นคนเยี่ยมยุทธ์ในกลุ่มความคิดวัฒนธรรมเดียวกัน ต้องรวยด้วยการไม่ทำงานหนักได้สินทรัพย์ที่บรรเทาความเหนื่อยหนักคนอื่นมีฉันต้องมีเท่ากับคนที่มีแต่ต้องไม่ทำงานเหนื่อยหนักแล้วได้มา จึงทำให้การเสี่ยงลงทุนเหรียญต่างๆที่ออกมาเผาสินทรัพย์ที่เคยมีจนเดือดร้อนในหมู่กุมาร กุมารีรุ่นนี้
ข้ากับสถานการณ์ตอนนี้เลย งอแงสุดๆ
ลูกจ้างที่ใครมาแทนตอนไหนก็ได้จะเป็นลูกจ้างที่ลำบาก จะเป็นลูกจ้างต้องเก่งจนต่อรองได้
ขอแชร์นะคะ❤❤❤❤❤❤
High profile, low intensive
คำว่าทำงานหนักมันแค่ไหน ขอแค่มีความรับผิดชอบ ทำงานให้เสร็จตามเวลา ไม่มีปัญหากับทีม พัฒนาตนเองตลอดเวลา แค่นี้ก็พอสำหรับความก้าวหน้า ไม่ใช่หนักไม่เอาแต่อยากได้เงินเดือนเยอะๆ สร้างแต่ความแตกแยกในทีม แบบนี้เก่งสุดยอดยังไงก็ไม่มีใครเอา
ทำงานเกินเงินเดือนไม่เคยได้รับแม้แต่คำขอบคุณ เรื่องเลื่อนตำแหน่งไม่ต้องพูดถึง แต่เจอพวกประจบประแจงได้ดิบได้ดี ก็ขอเป็น quiet quitter ดีกว่า
น่าจะมีความจำกัดความว่างานหนักนี่เป็นยังไง ทำมากชม.กว่ากฎหมายกำหนดแต่ไม่ได้เงิน
ผมชอบ และเห็นด้วยกับข้อความ ทิ้งท้าย นั้นคือเรื่องจริง
เรื่องนี้ มันมีหลายอย่าง อยู่ที่มองกันมุมไหน... แต่ที่แน่ๆ ผมมีขีดจำกัดในการจะอดทน และเสียสละให้จนมากพอละ....ถ้าบริษัทมีระบบดี จะไม่ว่าเลย ตอนนี้ งานง่ายเจ้านายดันทำให้ยาก... อยู่ไปก็ไม่ฟังผมละ ยิ่งอยู่ยิ่งไร้ตัวตน ไปดีกว่า
ก็งานมัน bullshit job ทำงานไปก็ไม่ได้อะไรกับชีวิต นอกจากอยู่ไปวันๆ รอเงินสิ้นเดือน วนลูปไปแบบนี้ ทำไปจนเกษียณแต่ไม่ได้อะไรเลย
เชื่อในการทำงานหนักเหมือนกันค่ะ…แต่สิ่งแวดล้อมและบริบทของการทำงานมันไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน เคยพูด เคยแนะ จนรู้สึกกลับมามองว่า เราจะดื้นรนไปทำไม เราเองยิ่งดื้นรนยิ่งเหนื่อย ก็เลยเป็นแบบนี้เลยค่ะ😂😂😂😂
ข้อ 3 เปิดใจคุย พอคุยปุ๊ป วันรุ่งขึ้นอาจปลิวได้
เหมือนเพลงบอดี้แสลมไม่สามารถใช้ได้ในยุคปัจจุบัน