ปลูกทุเรียนจะโตดี ก็ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย

ปลูกทุเรียนจะโตดี ก็ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย (ยาว)
เกษตรกรหลายๆท่านปลูกทุเรียนโดยคำนึงแต่เรื่องของการให้ปุ๋ย...ให้ธาตุอาหาร...ให้ฮอร์โมนอาหารเสริม..ที่จะทำให้ทุเรียนโต...แต่จริงๆแล้ว...ปัจจัยที่จะทำให้ทุเรียนโตดี ก็ขึ้นอยู่ 3 ปัจจัยดังนี้
-ดินต้องดี
-น้ำต้องดี
-และต้องมีสภาพอากาศที่ดี
ดินดีคืออะไร
1. ต้องมีค่า pH อยู่ที่ 5.5-6.5 ไม่มีความเป็นกรดเป็นด่าง...รู้ไหมว่าในสภาพดินที่เป็นกรด หรือด่างสูง..จะส่งผลให้ทุเรียนใบเหลือง..ไม่โต แคระแกร็น...ต่อให้ใส่ปุ๋ยเท่าไหร่ก็ไม่หาย
2. ต้องระบายน้้ำได้ดี เพราะทุเรียนอ่อนแอต่อสภาพน้้ำขัง
3.มีธาตุอาหารที่ดี ไม่ว่าจะเป็นธาตุหลัก ธาตุรองและธาตุเสริม ...เนื่องจากปัจจุบันมีการปลูกพืชเป็นระยะเวลานาน..มีการใช้ธาตุอาหารมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ จะส่งผลให้ปริมาณธาตุอาหารในดินลดลง เราจึงจำเป็นจะต้องมีการเติมธาตุอาหารในรูปแบบของการใส่ปุ๋ย..ทั้งปุ๋ยทางดินและก็ปุ๋ยทางใบ
4.ดินที่ดีก็ต้องมีคืออินทรีย์วัตถุ
5.ดินสำหรับปลูกทุเรียน ควรเป็นดินร่วน ดินร่วนปนทราย และควรมีลูกรังเล็กๆร่วมด้วย เพื่อที่จะทำให้ดินมีช่องว่างได้ดี ทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีเมื่อรดน้ำลงไปแล้วดินจะไม่แน่นไม่เหนียวติดกัน
**ในกรณีที่เป็นดินเหนียว..ดินเหนียวจะมีคุณสมบัติ เนื้อละเอียด แน่น ไม่ยอมให้น้ำซึมผ่านได้ง่าย..ดินเหนียวจึงไม่เหมาะสำหรับการปลูกทุเรียน....ด้วยสภาพทางกายภาพของดินเหนียว..จับตัวกันแน่น...เราจะต้องทำยังไงก็ได้...ให้ดินไม่จับตัวกันเป็นก้อน....โดยเพิ่มอินทรีย์วัตถุเข้าไปแทรกระหว่างเนื้อดิน เช่นแกลบดิบ มะพร้าวสับ เศษฟาง
***สำหรับดินทรายก็เป็นดินที่มีธาตุอาหารน้อยมากเพราะเป็นดินที่ไม่สามารถดูดธาตุอาหารและดูดน้ำได้ คือลักษณะของดินทรายมันจะไม่จับตัวเป็นก้อน....เราจำเป็นจะต้องเพิ่มอินทรีย์วัตถุเข้าไป เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยมูลสัตว์ รวมถึงปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มธาตุอาหาร..ให้ดินสามารถดูดซับธาตุอาหารหรืออุ้มน้ำได้ดี
ซึ่งการปรับโครงสร้างของดินทั้งดินเหนียวและดินทรายจำเป็นทำต่อเนื่องเพื่อจะแก้ปัญหาให้ดินสามารถปลูกพืชได้...ซึ่งดินดีก็จะทำให้ระบบรากดีเมื่อรากดีก็จะทำให้การแตกยอดดีใบดีสมบูรณ์
ปัจจัยเรื่องน้ำก็สำคัญ
การปลูกทุเรียนต้องคำนึงถึงแหล่งน้ำเป็นสำคัญ..เพราะทุเรียนกว่าจะให้ผลผลิตเราใช้เวลา 5 ปี 6 ปี..และตลอดช่วง 5 ปีนี้..เราต้องให้น้ำเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต..ถ้าเปรียบเทียบเรื่องปุ๋ยกับน้ำ.....ดังนั้นแหล่งน้ำจึงจะต้องเพียงพอต่อการรดน้ำทุเรียนตลอดช่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตรวมถึงการให้ผลผลิต ...
และพื้นฐานของคุณภาพน้ำ...ก็ต้องมาวัดกันที่ค่าความเป็นกรดเป็นด่างเช่นเดียวกับดิน...ซึ่งคุณภาพน้ำที่ดีต้องมีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ที่ 5.5 ถึง 7.5
ถ้าคุณภาพน้ำไม่ดีมีความเค็มก็อาจจะทำให้ทุเรียน ใบแห้งใบเหี่ยวยืนต้นตายก็มี
ซึ่งบางพื้นที่ทั้งในภาคอีสานที่มีน้ำใต้ดินมีความเค็ม และในเขตภาคตะวันออก เช่น แถวตำบลช้างข้าม อำเภอนายายอามจังหวัดจันทบุรี ที่มีพื้นที่ติดกับชายฝั่งทะเล ซึ่งเมื่อถึงฤดูฝนน้ำทะเลหนุนและดันเข้ามา จึงทำให้สภาพน้ำที่เรารดต้นทุเรียนมีความเค็มไปด้วย...
ปัจจัยที่ 3 ก็คือเรื่องของสภาพอากาศ ได้แก่
1.แสงแดดดี
2.อุณหภูมิดี ในช่วง 25-30 องศาเซลเซียส
3.ความชื้นระดับพอดี
ซึ่งปัจจัยทางด้านสภาพอากาศเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากมากกว่าเรื่องของน้ำและก็ดิน...แต่ก็ต้องคำนึงถึงเสมอ
***ในฤดูแล้ง..มีสภาพอากาศที่ร้อน แสงแดดแรงอุณหภูมิสูง ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ..จำเป็นจะต้องปลูกไม้พี่เลี้ยงหรือทำสแลนบังแดด...และเพิ่มความชื้นให้แก่ดิน เพื่อให้ทุเรียนเจริญเติบโตได้
***ในฤดูฝนมีความชื้นสัมพัทธ์สูง...ทำให้สภาพดินแฉะ ดินความชื้นสูงเป็นเวลานาน มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้รากเน่า หรือเกิดเชื้อราขึ้นได้...ฤดูฝนมีความชื้นสัมพัทธ์สูง....ควรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาหรือสารป้องกันกำจัดเชื้อราด้วย
*หากพื้นที่ปลูกเป็นที่โล่ง มีลมแรง หรือบนเขา ชาวสวนก็จำเป็นจะต้องทำไม้ค้ำยัน หรือปลูกพืชแนวกันลม ช่วงติดผลก็ต้องมีการโยงกิ่งเต้าลูกเพื่อป้องกันกิ่งหัก ลูกร่วง
ดังนั้นก่อนปลูกทุเรียนจึงจำเป็นต้องเข้าใจปัจจัยพื้นฐานก่อน..มีการตรวจวัดสภาพดินและสภาพน้ำว่า...มีสภาพความเป็นกรดเป็นด่างหรือไม่..ไม่ใช่เอะอะอะไรก็วิ่งลงหาซื้อปุ๋ยซื้อยามาแก้ปัญหาซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุดและสิ้นเปลืองอีกด้วย
ทุเรียน..เรียนไม่มีวันจบ.. ขอให้มีความสุขในการทำการเกษตรครับ...
++++++++++++
facebook : / konkaset89

[@user-fm5ti8fx1e]

ผมชอบอาจารย์ครับชัดเจนดีครับ

[@ฅนเกษตร]

ขอบคุณมากๆครับ

[@TomHappyChannel]

ขอเครื่องมือวัดความเป็น กรด ด่าง วัดน้ำ และดินด้วยครับ

[@kaikia4305]

โดโลไมต์ใช้เวลานานเท่าไร กว่าค่าดินจะเปลี่ยนครับ

[@ฅนเกษตร]

ขึ้นอยู่กับความเป็นกรดของดินครับ..
ถ้าค่าความเป็นกรดของดินเยอะก็จะใช้เวลาถึง 3-4 ปี
ดังนั้นจึงควรทำการปรับค่าดินทุกๆเดือน และที่สำคัญจำเป็นจะต้องนำค่าดินไปตรวจวิเคราะห์ ที่มหาวิทยาลัยต่างๆหรือว่าที่กรมพัฒนาที่ดินใกล้บ้านครับ

[@Phuthaikhaowong29]

ได้ความรู้มากๆครับ👍👍👍