เพราะไร้ที่พึ่งเราจึงมู? มองสายมูในมุมปรัชญา | Shortcut ปรัชญา EP.7
Vložit
- čas přidán 23. 06. 2024
- 3 ใน 4 ของคน Gen Z เป็นสายมู คือผลสำรวจจาก ABAC Poll
ถ้าลองย้อนสำรวจตัวเอง เราก็อาจเคยเปลี่ยนวอลล์เปเปอร์มือถือเพื่อเสริมดวง ทำบุญแก้ปีชง ใส่เสื้อสีมงคล หรือบนเพื่อขอพรเรื่องความรัก และไปให้สุดกว่านั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับลัทธิจำนวนหนึ่งที่ให้กินของไม่ถูกสุขอนามัยต่างๆ เพื่อรักษาสุขภาพ
สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เรื่องโง่งมงายไร้สาระ หรือมันสะท้อนอะไรมากกว่านั้น?
ในโลกวันนี้ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เราไม่อาจคาดเดา ชีวิตที่เราไม่อาจควบคุม และสังคมที่บอกว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ต้องประสบความสำเร็จในการงาน มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บหลักหลายล้านเพื่อการเกษียณ
ชีวิตที่ดีแบบที่น้อยคนจะไปถึง
Shortcut ปรัชญา เอพิโสดนี้ ชวนมองปรากฏการณ์ ‘สายมู’ แบบลงลึก ทำไมเราจึงมู การมูสัมพันธ์กับสังคมที่เราอยู่อย่างไร ทำไมปรากฏการณ์บางส่วนจึงสามารถอธิบายได้ด้วยความเหลื่อมล้ำ?
ชวนคิด ชวนถาม กับ ภาคิน นิมมานนรวงศ์ และ ฟาง-รัฐโรจน์ จิตรพนา
Time Index:
00:00 Sneak Peek
00:38 เกริ่นนำ
01:19 อะไรทำให้ ‘สายมู’ ยังคงอยู่?
10:11 การมูไม่ใช่เรื่องของคนโง่งมงาย?
13:00 จะทำความเข้าใจความเชื่อแบบสุดโต่งอย่างไร?
18:17 คำถามทิ้งท้าย
อ้างอิง: 1. คนที่อธิบายเรื่องการมูกับสังคมไทยไว้ดีมากๆ และอยากชวนทุกคนไปฟังเพิ่มเติมมีอย่างน้อยสองคน
อาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง เช่น สังคม ศาสนา และการมูฯ feat. ผศ.คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง | Grey Area EP04
( • สังคม ศาสนา และการมูฯ ... )
อาจารย์เอโดอาร์โด เซียนี (Edoardo Siani) เช่นรู้จักอาจารย์อิตาลีที่ศึกษาวิจัยเรื่องมูเตลูในบ้านเรา จนพบคำตอบและเห็นปรากฎการณ์หลายอย่างในสังคม
( • รู้จักอาจารย์อิตาลีที่... )
2. อิมมานูเอล คานท์ พูดถึงการที่มนุษย์ทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ (self-imposed nonage) และไม่กล้าคิดอะไรด้วยตัวเองไว้ในบทความ “What is the Enlightenment?” อ่านฉบับภาษาอังกฤษได้ใน www.columbia.edu/acis/ets/CCRE...
หรืออ่านฉบับแปลไทยโดย อาจารย์โสรัจจ์ หงส์ลดารมภ์ ที่ philoflanguage.wordpress.com/...
3. ปัญหาเรื่องทาสของไทยเป็นประเด็นที่มีค่อนข้างซับซ้อนและไม่น่าจะเทียบเคียงกับทาสในโลกตะวันตกได้ตรงๆ
ตัวอย่างแนวคิดของคนสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มองว่า การเลิกทาสทำให้คนยากคนจนลำบากขึ้น ดูได้ในวิทยานิพนธ์ของอาจารย์ญาณินี ไพทยวัฒน์ เรื่อง “การศึกษาวาทกรรมเรื่องทาสไทย” (cuir.car.chula.ac.th/handle/1...) โดยเฉพาะในบทที่ 2 หน้า 51-70
4. ไม่ใช่แค่คนยากคนจนที่ชอบมู แต่ผู้นำทางการเมืองและการทหารในสังคมไทยก็เชื่อในโหราศาสตร์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้กัน ใครสนใจประเด็นนี้แนะนำให้อ่าน
“ฤกษ์งามยามการเมือง: การยุบสภาและโหราธิปไตย” (www.the101.world/horoscracy/)
“คุยกับ 'อ.ชลิดาภรณ์' โหราศาสตร์กับการตัดสินใจในทางการเมืองของไทย” (www.voicetv.co.th/read/192921)
5. ตัวอย่างงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ สัมพันธ์กับระดับความเชื่อและศรัทธาในศาสนา อาทิ
“Religiosity Highest in World's Poorest Nations” (news.gallup.com/poll/142727/r...)
“Economic Inequality, Relative Power, and Religiosity” (onlinelibrary.wiley.com/doi/a...)
Inequality and Religiosity in a Global Context: Different Secularization Paths for Developed and Developing Nations (www.tandfonline.com/doi/full/...)
6. ประเด็นลัทธิสุดโต่งในสังคมไทยมีแง่มุมที่ซับซ้อนกว่าแค่การ “ขาดความรู้” ดูข้อถกเถียงเรื่องนี้ได้จาก
“มองปรากฏการณ์ ‘ลัทธิพระบิดา’ สะท้อนปัญหาสังคมไทยผ่านสายตานักวิชาการศาสนา”
(thestandard.co/fathers-cult-t...)
กรมสุขภาพจิต เผยสาเหตุทำคนหลงเชื่อลัทธิประหลาด ความเชื่อผิดๆ เร่งช่วยเหลือแล้ว
(www.hfocus.org/content/2022/0...)
กดติดตาม และ กดกระดิ่ง: bit.ly/45KZn3w
ติดตาม THE STANDARD PODCAST ในช่องทางอื่นๆ
Website: www.thestandard.co/podcast
Twitter: / thestandardpod
Facebook: / thestandardth
TikTok: / thestandard.podcast
Spotify: bit.ly/3NhRWZg
Apple Podcasts: bit.ly/42OGIkI
SoundCloud: / thestandardpodcast
#สายมู #ปรัชญา #Shortcutปรัชญา #TheStandardPodcast #TheStandardTh #TheStandardCo #podcast
1. คนที่อธิบายเรื่องการมูกับสังคมไทยไว้ดีมากๆ และอยากชวนทุกคนไปฟังเพิ่มเติมมีอย่างน้อยสองคน
อาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง เช่น สังคม ศาสนา และการมูฯ feat. ผศ.คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง | Grey Area EP04
(czcams.com/video/590u9l5-v4k/video.html)
อาจารย์เอโดอาร์โด เซียนี (Edoardo Siani) เช่นรู้จักอาจารย์อิตาลีที่ศึกษาวิจัยเรื่องมูเตลูในบ้านเรา จนพบคำตอบและเห็นปรากฎการณ์หลายอย่างในสังคม
(czcams.com/video/UdyVokT93uo/video.html)
2. อิมมานูเอล คานท์ พูดถึงการที่มนุษย์ทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ (self-imposed nonage) และไม่กล้าคิดอะไรด้วยตัวเองไว้ในบทความ “What is the Enlightenment?” อ่านฉบับภาษาอังกฤษได้ใน www.columbia.edu/acis/ets/CCREAD/etscc/kant.html
หรืออ่านฉบับแปลไทยโดย อาจารย์โสรัจจ์ หงส์ลดารมภ์ ที่ philoflanguage.wordpress.com/2013/04/14/คำตอบของคำถาม-แสงสว่าง/
3. ปัญหาเรื่องทาสของไทยเป็นประเด็นที่มีค่อนข้างซับซ้อนและไม่น่าจะเทียบเคียงกับทาสในโลกตะวันตกได้ตรงๆ
ตัวอย่างแนวคิดของคนสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มองว่า การเลิกทาสทำให้คนยากคนจนลำบากขึ้น ดูได้ในวิทยานิพนธ์ของอาจารย์ญาณินี ไพทยวัฒน์ เรื่อง “การศึกษาวาทกรรมเรื่องทาสไทย” (cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/36542) โดยเฉพาะในบทที่ 2 หน้า 51-70
4. ไม่ใช่แค่คนยากคนจนที่ชอบมู แต่ผู้นำทางการเมืองและการทหารในสังคมไทยก็เชื่อในโหราศาสตร์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้กัน ใครสนใจประเด็นนี้แนะนำให้อ่าน
“ฤกษ์งามยามการเมือง: การยุบสภาและโหราธิปไตย” (www.the101.world/horoscracy/)
“คุยกับ 'อ.ชลิดาภรณ์' โหราศาสตร์กับการตัดสินใจในทางการเมืองของไทย” (www.voicetv.co.th/read/192921)
5. ตัวอย่างงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ สัมพันธ์กับระดับความเชื่อและศรัทธาในศาสนา อาทิ
“Religiosity Highest in World's Poorest Nations” (news.gallup.com/poll/142727/religiosity-highest-world-poorest-nations.aspx)
“Economic Inequality, Relative Power, and Religiosity” (onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/j.1540-6237.2011.00777.x)
Inequality and Religiosity in a Global Context: Different Secularization Paths for Developed and Developing Nations (www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/00207659.2020.1771013)
6. ประเด็นลัทธิสุดโต่งในสังคมไทยมีแง่มุมที่ซับซ้อนกว่าแค่การ “ขาดความรู้” ดูข้อถกเถียงเรื่องนี้ได้จาก
“มองปรากฏการณ์ ‘ลัทธิพระบิดา’ สะท้อนปัญหาสังคมไทยผ่านสายตานักวิชาการศาสนา”
(thestandard.co/fathers-cult-through-religious-scholar/)
กรมสุขภาพจิต เผยสาเหตุทำคนหลงเชื่อลัทธิประหลาด ความเชื่อผิดๆ เร่งช่วยเหลือแล้ว
(www.hfocus.org/content/2022/05/25101)
00:38 เกริ่นนำ
01:19 อะไรทำให้ ‘สายมู’ ยังคงอยู่?
10:11 การมูไม่ใช่เรื่องของคนโง่งมงาย?
13:00 จะทำความเข้าใจความเชื่อแบบสุดโต่งอย่างไร?
18:17 คำถามทิ้งท้าย
เนี่ยยยย รายการดีดีแบบนี้ทำไมมันสั้นอย่างงี้ พรีสสสสสสสสสสสส ขอยาวๆ อย่างเพลินนนนน
เสียดายเนอะแต่มันเป็นshortcut อะเนอะลงลึกไปมันยาวววว
ดันนน! อยากฟังยาว ๆ เหมือนกัน
ฟังแล้วก็เศร้าแปลกๆ ที่คนคนนึงสามารถไปถึงจุดที่ต้องหาอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจที่่มันโงนเงน
แล้วก็รู้สึกโชคดีที่ตัวเองมีต้นทุนที่ดีมากพอ จนยังไม่ถึงจุดที่อยากจะพึ่งมู (แต่ถ้าได้โชคจริงก็เอาา)
แล้วก็ขออย่าให้ตัวเองต้องอยู่ในจุดที่ต้องยอมรับสิ่งแปลกๆมายึดเหนี่ยวจิตใจเลย
ใดๆเลยยังเชื่อว่าโครงสร้างทางสังคมที่ดีและการฝึกในตัวเองอยู่เรื่อยๆจะทำให้เราแข็งแกร่งพอที่จะรับมืออะไรร้ายๆหลายๆอย่างในชีวิตได้
ไม่ได้มูเลยค่ะ เพราเป็นคนไม่มีดวงไม่มีโชคมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้ผลตอบรับอะไรดีๆจากการพึ่งดวงหรือสิ่งอื่นเลย ก็เลยเชื่อในการลงมือทำเองมาตลอด เชื่อว่าพึ่งตัวเองดีที่สุดค่ะ
ขออนุญาตสอบถาม ปัจจุบันนับถือศาสนาอะไรครับ?
@@failogy ศาสนาพุทธค่ะ ก็ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาตามปกติ เพียงแต่ไม่ได้พึ่งเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล การดูดวง หรือใส่เสื้อตามสีมงคลอะไรแบบนี้ค่ะ
เหมือนกันเลยค่ะ เป็นคนที่ดวงไม่ดีจับฉลากอะไรไม่เคยได้ของรางวัลเลยไม่เชื่อการมูเลย พอไม่มูแล้วตั้งใจทำสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้ก็ได้ในสิ่งที่ต้องการเองโดยไม่ต้องไปมู
เหมือนกับเลยครับ จับสลากก็ไม่เคยได้ หวยก็ไม่เคยถูก สุ่มกาชาก็เอาจนการันตี 5555 เลยไม่เชื่อเรื่องมูเท่าไร ไม่เคยบนบานอะไรเลยด้วย เชื่อในการลงมือทำมากกว่า
ผมเคยเสียทั้งแรงทั้งเวลาและเงินไปกับเรื่องพวกนี้แล้วมันไม่ได้เกิดผลดีอะไรขึ้นเลย ผมเลยไปหาข้อมูลในเน็ตในหนังสือทั้งวิทย์ สังคม ปรัชญา ฯลฯ มันทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น เหตุเป็นอย่างไรแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะสการเจ็บป่วย การเรียน การทำงาน ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่อยากที่จะเสียแรง เวลาและเงินอันมีค่าไปกับสิ่งที่เพ้อฝัน เป็นไปไม่ได้อีกเลย
โดยส่วนตัวเป็นหมอดู ตกผลึกได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีปัญหาและไม่สามารถตัดสินปัญหาผู้อื่นได้ว่าเป็นปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ เพราะแต่ละคนมีจุดอ่อนไหวที่แตกต่างกัน
และคนที่เข้ามาดูดวงที่ต้องการพึ่งพาสายมูเพราะต้องการทางลัดหรือตัวช่วยในขณะที่เขารู้สึกรับไม่ไหว
แต่ก็ต้องระวังด้วย เมื่อคนเราตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์จิตใจอ่อนไหวก็มักจะถูก ชักชวนไปในทางด้านมืดได้เพราะต้องการหาสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่ง
จะว่าไปอย่างความทุกข์ก็มีข้อดีคือ คนเราเจอกับทุกข์จึงมีความกลัว เช่น กลัวเจ็บ กลัวตาย ก็มักจะเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อปฏิบัติสวดมนต์ สิ่งนี้ทำให้มีสมาธิ มีสติ
ถ้ามองในแง่มุมที่มนุษย์มีการสั่นคลอนทางความคิดและความสิ้นหวังในแต่ละวันที่พบเจอ การมูอาจเป็นทางออกเพียงไม่กี่ทางที่มนุษย์หลายคนเลือก
แม้ว่ามันอาจจะไม่ดีพอในการแก้ปัญหา แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผ่านพ้นบ่วงแห่งความสั่นคลอนเหล่านั้น
แต่โดยส่วนตัวคิดว่า ชีวิตที่ฝึกฝนตนเองจนมีศักยภาพเพียงพอในการพึ่งพาตนเองได้อย่างเต็มที่ เป็นการแก้ปัญหาเรื่องการมูหรือการพึ่งพาการมูได้ครับ
โคตรสุดยอดรายการเลยครับ คือผมฟังและคิดตามแล้ว เออว่ะ เออว่ะ ผมนี่กระจ่างและเข้าใจหลายๆอย่างที่พี่พูดมามากเลยครับ ปรัชญามันสุดยอดจริงๆครับ ขอบคุณที่ทำรายการแบบนี้ออกมานะครับ
คุณฟางสรุปสุดท้ายได้ดีมากครับ สังคมไทยเราน่าสงสารครับ
มูเดียวที่เรารักคือ หมูกระทะ
นี่คือวิธีคิดแบบคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องอายุน้อยนะ คนอายุเยอะก็มีวิธีคิดแบบคนรุ่นใหม่ได้
ผมเป็นคนรุ่นใหม่มาตั้งแต่วัยรุ่นปัจจุยัน60++ก็ยังเป็นคนรุ่นใหม่อยู่ครับ
เชื่อในความสามารถตัวเองในการแก้ปัญหาต่างๆ เชื่อในความรู้และการใช้เหตุผล
ผมไม่มู ไม่นับถือศาสนาอะไร เพราะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะไม่ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาเจออะไรมาเยอะและเรียนรู้ว่าไม่มีอะไรช่วยเราได้นอกจากตัวเอง
ชอบมากครับกำลังรออยู่เลย
สายวิทย์จะกรี๊ดมาก ถ้าเจอสายมู 🎉🎉
ไม่เลยครับ แค่สงสารในใจ
เท่าที่เห็นคือ มูเพราะอยากมีแต่ความสุข ร่ำรวยเงินทอง ประสบความสำเร็จ
แต่ไม่ยอมรับความทุกข์ ความผิดหวัง ความล้มเหลว
ถ้าคิดได้ว่าชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ มูก็เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลไม่สำคัญต่อชีวิต
ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตนได้เสมอ !
ชอบรายการนี้มากค่ะ
อยากให้มีรายการแบบนี้ในวิชาอื่นๆด้วยจัง
ชอบทุกอีพี ขอให้ทำไปเรื่อยๆนะครับ หยิบจับประเด็นที่น่าสนใจต่างๆมาเล่าผ่านมุมมองทางปรัชญา ชอบมากกกก❤
เนื้อหาดีมากๆเลยค่ะ
ขอขอบคุณ
ขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและกำลังใจ ทีมงานจะพัฒนาคุณภาพของเนื้อหาและการนำเสนอคอนเทนต์ที่ดีต่อไปค่ะ 💜
พูดได้ดีครับ
พี่ฟางงงง คิดถึงมากค่ะ
เป็นมุมมองที่โคตรดี
แม่ผมก็ออกๆสายมู ก็น่าสงสารจริงๆนั่นแหละครับ
ความเชื่อความรู้ศรัทธาความเห็น ประโยชน์
ส่วนตัว มู เพื่อ
1. ในเชิงจิตวิทยา ให้จิตเราคิดถึงสิ่งดีๆ ทำให้เกิดพลังใจในช่วงจิตตก เพื่อบอกตัวเองว่าทุกปัญหามีทางออก เพื่อดึงสติและพยายามหาทางจัดการปัญหาด้วยตัวเอง
2. ในเชิงขอการช่วยเหลือจากสิ่งที่เรามองไม่เห็นหรือจิตวิญญาณ (อาจจะเรียกมูงมงาย) เราเชื่อว่าทุกเหตุการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมักเกิดขึ้นจากสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เราไม่อาจกำหนดอะไรต่างๆในชีวิตได้ตามเราต้องการทั้งหมด มักมีเหตุปัจจัยบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ หรือรูปแบบของเหตุการณ์ที่เป็นจังหวะเวลาที่พอดีให้มันเกิดขึ้น
แต่ส่วนตัวเราการมูแบบ ข้อ 2 คือ เราพยายามทำสิ่งที่เราทำและควบคุมได้ให้เต็มที่ที่สุด พร้อมกับการมูขอไปด้วย เช่น ถ้าเราอยากให้ตัวเองรวย แต่ไม่ได้ทำงานหรือคิดไอเดียทำอะไรต่างๆ ก็ไม่มีทางรวยได้เลย ส่วนการมูก็อาจจะทำให้เราบังเอิญเจอช่องทางหรือจังหวะที่ดี
มันคือสิ่งทีอธิบายแนวทางของการดำรงชีวิต คนกลัวทีมืด กลัวทางทีไม่เคยเดิน กลัวเพื่อนไม่คบ เลยต้องใข้แนวทางสายมู เอาแนวทางของเทพมาเป็นแนวของตัวเอง แต่องค์ประกอบของเราต่างกัน
ไม่มู แต่ก็มีการศึกษาศาสตร์ต่างๆบ้าง สุดท้ายก็ อยู่ที่ตัวเราเลือกปฏิบัติ
มีคำถามในใจ ถ้ามู มูได้ มันได้มายังไง ? ความสามารถเราเอง? หรือมีสิ่งใดบันดาลด้วยสินบน ถ้าสินบนมันมายังไง มาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความสามารถเราที่ทำแล้วจะได้สิ่งนั้นในอนาคต เรามีความเชื่อว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เคยเห็นหลายเคสแล้ววุ่นวาย 😂 คิดหลายๆด้านมันน่าเอะใจมาก
แต่กระนั้นเพราะความไม่รู้เราก็เคยผ่านมา
ดูดวง ดูไพ่ ถ้าเราสำรวจตัวเองก็มีเอะใจบ้าง เหมือนเราส่องกระจกตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว
ไม่มูครับ ส่วนตัวเชื่อในวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพราะพิสูจน์ได้ มีความคงที่ ชัดเจน ที่ไม่อยากเชื่ออย่างอื่นเพราะคำอธิบายต่างๆ ไม่คงที่พอที่จะใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ เช่น ทำดีไม่ได้ดี ก็เพราะกรรมเก่าไงหล่ะ ทำแล้วไม่เห็นผล เพราะไม่ศรัทธามากพอไงหล่ะ สมัครงานได้ เพราะไปบ่นที่นี่มาไงหล่ะ เลยได้
คลิปสั้นไปหน่อยจ้า อยากฟังเยอะๆๆๆๆๆ เลยจ้า - ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆ ครับ
ใจเบาไง .. ต้องมีอะไรถ่วงไว้ หนังสือ hidden potential ได้บอกเอาไว้ว่า มนุษย์มักคิดว่า สิ่งที่เชื่อคือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าความจริงจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ..
ทำเจาะลึกปรัชญาต่างๆบ้างนะครับ อิคิไก,คินสึงิ,วะบิซาบิ
เกินคำว่ามู คือ งมงาย
สุดท้าย คือ ล่าแม่มด
Ex.เดี่ยวโน้สอุดมครับ
เสียคนตอนแก่หลายตัว
มูค่ะ แต่มูแบบพอดีๆ เช่น ดูวันดี อาจจะไม่เกี่ยว แต่อยากน้อยก๊ใช้หลอกสมองว่าดี ได้ ส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าคิดดี พูดดี ทำดีก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาค่ะ
จบเร็วจัง
อยากให้รายการยาวๆจัง 😂😂
สรุปได้โศกมาก คนเราไม่มีอะไรยึดก็จะพยายามหาอะไรยึดอะ แม้จะเป็นเรื่องที่ผิดแปลกหรือดูพิลึกขนาดไหน ดูโดดเดี่ยว แห้งแล้งจริงๆ
ขอเรื่อง Free Will ครับ
เห็นด้วย
หัวข้อนี้น่าสนใจมากครับ
Long cut ปรัชญา
ไม่เลยครับเดินหน้าชีวิตเอาเหตูผลเป็นที่ตั้ง
ผมว่าให้อยู่กลางดีที่สุด😊
เราเชื่อในความพยามของตัวเองว่าการลงมือทำจะทำให้เห็นผลลัพท์ แต่บางทีเวลาที่เจอทางตันก็ต้องการสิ่งที่มาไกด์ไลน์เราได้บ้างก็คือการทำนายไพ่ทาโร่บวกกับการลงมือทำและพยามใช้ชีวิตในแต่ล่ะวันแบบไม่ประมาทอ่ะนะ
ส่วนตัวไม่ใช้สายมู เพราะถือคติชีวิตบันดาลด้วยตัวเองไม่มีอะไรมาช่วยเราให้ดีขึ้นหรือแย่ลง ทุกอย่างในชีวิตเกิดจากการกระทำของตัวเราเอง แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านบางครั้งก็เข้าร่วมกิจกรรมสายมู แค่คิดว่าเป็นสีสันชีวิตมองเป็นประเพณีรูปแบบนึงที่ทำโดยไม่ได้หวังอะไรถ้ามันช่วยจริงก็ดีไปแต่ไม่ช่วยอะไรก็ถือว่าแค่ทำเป็นพิธี
ตอบคำถามท้ายรายการครับ ผมมูนะ แต่จะมูไม่ใช่เพื่อผลแต่เพื่อความสบายใจ เพราะผลล้วนเกิดจากเหตุ ดังที่ว่า
"ดูกรภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมัน จึงเที่ยวเสาะหาน้ำมัน (ด้วยการ)เกลี่ยทรายลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไป ๆ ถ้าแม้ทำความหวังแล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไป ๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน"
"ดูกรภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมันจึงเที่ยวเสาะหาน้ำมัน เกลี่ยงาป่นลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไป ๆ ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วเกลี่ยงาป่นลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไป ๆ เขาก็สามารถได้น้ำมัน"
มูน่ะมีจริง
มูที่ดีจริงน่ะน้อยมาก
มิติที่ไร้กายหยาบ
ถ้ายังไม่ได้สู่โลกุตระ
นั่นหมายถึงยังมีรักโลภโกรธหลง คิดให้ลึกกว่านั้น เหมือนได้สิ่งที่ขอ
ต้องให้คืน ไปกี่เท่าเคยถามสิางที่ขอหรือไม่
และขอแล้วลืมแลก จะเจอกับสิ่งใด.....
บอกแบบฟันธง
สายมูมีจริงแต่มัก
ไปทางดาร์ก ....
ยกมือไหว้ไว้ก่อนสบายใจครับ หาห้องน้ำไม่ทัน😂
โดยส่วนตัวผมแล้วไม่ใช่สายมูโดยตรงครับแต่ผมเป็นคนที่มีความเชื่อในเรื่องของการพึ่งพาตัวเองการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นแต่ผมกลับไม่มีความกล้าพอที่จะมองข้ามเรื่องของความเชื่ออะไรแบบนี้เลยครับก็คือไม่พึ่งพาแต่ไม่กล้าลบหลู่ยกตัวอย่างเช่นเราอาจจะเผลอทำอะไรไม่เหมาะสมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วเรามีความรู้สึกว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้เราประสบกับโชคร้ายจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อขอขมาอะไรแบบนี้อ่ะครับแล้วสมองก็เก็บไปคิดเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราทำให้เกิดความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวล พอได้มาฟังรายการนี้แล้วก็ทำให้เห็นภาพมากขึ้นครับ
ผมเองก็ไม่เคยลบหลู่แค่ไม่เชื่อไม่สนใจพึ่งพาตัวเองคิดวิเคราะห์เหตุและผล
บางคนเสียเงินเสียทองซื้อบุญ จนชีวิตต้องย่ำแย่หนักกว่าเดิม
สุดท้ายคนที่ได้เงินทองอยู่ดีกินดีก็คือคนที่เอาความเชื่อมาหากิน
ขอยาดคอฟ มุมคนดูรอ 7 วัน ได้ฟังไม่ถึง 20 นาที เลยคอฟ
EP นี้เป็น EP ที่ดรอปมากครับ ไม่ทราบว่าคุณภาคินสับสนเรื่อง "คำอธิบาย" กับ "เหตุผล" รึเปล่า แน่นอนครับทุกเรื่องมนุษย์เราพยายามหาคำอธิบายกับทุกเรื่อง และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคำอธิบายจะสมเหตุสมผล ซึ่งจุดตัดก็คือ "ความจริง" ซึ่งในความเข้าใจอย่างง่ายมากเราจะแบ่ง "ความเชื่อ" กับ "ความงมงาย" อยู่ที่มันจริงหรือไม่ ถ้าหากไม่จริงแล้วยังเชื่อต่อไป นั่นก็คืองมงายครับ
เราอาจจะถามต่อว่า "อะไรคือความจริง ?" แต่ในธีมของ EP นี้เราคงจะไม่ไปถึงขั้นนั้น โดยง่าย ความจริงและวิธีการหาความจริง คือ การพิสูจน์ได้ ทำซ้ำได้ มีกลไกอย่างชัดเจนแน่นอน การอธิบายเรื่องของความเชื่อโดยลืมนึกถึงความจริง สุ่มเสี่ยงมากครับที่จะไปยืนยันความเชื่อแบบผิดๆ ในตัวของเขาได้ ซึ่งปรัชญาไม่ควรเป็นเช่นนั้น
ดีใจมีคนเห็นตรงกัน 😢 ส่วนตัวผมว่าผู้ดำเนินรายการยังไม่ค่อยตกผลึกทางความคิดครับ ฟังหลายครั้งแล้วมีคำตอบที่แปลกเยอะมาก คือปรัชญามันจะเรียนจากตำราอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องไปสัมผัสชีวิตจริงด้วยถึงจะเข้าใจ
ขอบคุณมากเลยครับ ผมคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันตอนอัดเสร็จ ว่าอาจจะย้ำเรื่องที่คุณ piroon ว่ามานั้นน้อยไปหน่อย จนอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดและตีความไปได้ว่า ดังนั้น ความเชื่อที่ขัดกับหลักความจริงที่พิสูจน์ได้เป็นเรื่องดี
ส่วนหนึ่งคงเพราะผมคิดว่ามันต่อเนื่องจากอีพีก่อนๆ ด้วยที่พูดเรื่องตรรกะ ความเชื่อ และการพิสูจน์ไปพอสมควรแล้ว อีพีนี้เลยอยากมาเน้นอธิบายว่าถ้าเราอยากจะเข้าใจความมูหรืออะไรที่งมงาย เราพอจะเข้าใจมันได้ยังไงบ้าง
ยังไงจะพัฒนาต่อไปนะครับ ขอบคุณมากๆ ครับ 😊
ไม่มู เพราะรู้สึกว่านั่งรอแล้วไม่ได้อะไร ทุกอย่างล้วนเกิดจากการกระทำ
ผมมองว่าการ มู คือ ความเชื่อของแต่ละบุคคล เชื่อเล็กๆน้อยๆเป็นการเพิ่มความมั่นใจได้
แต่ถ้ามากเกินไป เชื่อแบบไม่คิดถึงหลักเหตุและผลเลย จะทำให้หลงทางรึเปล่า?
*ผมเชื่อหลักนึง "กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง" ทำให้ผมได้นั่งทบทวนตัวเองได้ในแต่ละวันว่าเราทำอะไรไว้กับใครไม่ดีรึเปล่า รีบขออภัยโทษสิ่งที่ทำอะไรไม่ดีไปกับสิ่งนั้นๆ คนนั้นๆ ปรับปรุงตัวเอง เข้าใจตัวเองและคนรอบข้างที่ดูแลเรา ก่อนที่จะสายไป สร้างจิตสำนึกดีๆกันครับ
ผมนับถือปรัชญาของศัลแตร์ครับที่ว่า "l'existence précède l'essence" หรือแปลได้ว่า "Existence precedes essence" ตัวเราต้องสร้างขึ้นมาเอง
เชื่อวิทยาศาสตร์อย่างพุทธศาสนา แต่ต้องปรับตัวเหลวไหลไปเพื่อความง่ายในการอยู่กับสังคม แต่ไม่สอนเด็กๆลูกหลานหรอกครับ.
ไม่มูค่ะ แต่ก็ไม่ไปลบหลู่หรือขัดขวางคนอื่น อยู่ส่วนตัวของตัวเอง แต่ส่วนตัวเลือกจะทำอะไรที่มอง หรือได้ยิน แล้วเสริมพลัง โดนเอาความชอบตนเองเป็นหลักไม่ได้ยึดติดตามศาสนาค่ะ เน้นให้ตัวเองได้รับพลังงานบวก
สายมูเป็นเทรนด์มากขึ้น จากดาราดังๆออกมาบอกว่าไปมูนั่นนี่ลงโซเชี่ยล ไม่รู้ว่าจริงๆเบท้องหลังรับเงินมาโปรโมทให้รึป่าวก็ไม่รู้
การเลือกที่จะสร้างตัวอะไรขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะไม่ต้องไปยึดโยงกับศีลธรรมแบบเดิม แต่ยังต้องการประโยชน์จากสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่
มูสำหรับผมมันก็คือไสยศาสตร์ Rebrand นั้นแหละ ยกตัวอย่างเลย ไปทัวร์ไสยศาสตร์ 3 วัน 2 คืน กับ ไปทัวร์สายมู 3 วัน 2 คืน อันไหนมันน่าไปกว่ากันอะ
เราที่เป็น Gen Z กล้าฟันธงเลยว่า คนใน Gen ตัวเองเป็น Agnostism กันเกินครึ่งแน่ๆ คือไม่เชื่อศาสนา แต่มูกันเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจเฉยๆ บางคนก็มูกันขำๆ ด้วยซ้ำ แค่พวกนี้ขี้เกียจแก้ศาสนาในบัตรปชช. เฉยๆ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในด้านนี้ อารมณ์เดียวกับคำนำหน้าชื่ออะ
ผมไม่อยากให้สังคมเราเป็นสายมูเลยครับ ผมนี่เจอมากับตัวญาติพี่น้องผมเป็นสายมูหมดครับ ยายที่ผมรักสุดหัวใจของผมป่วยญาติเอาไปหาหมอแค่ครั้งเดียวกลับมาบ้านอาการก็ยังหนักแทนที่พวกเขาจะเอากลับไปหาหมออีกครั้งแต่พวกเขากับเลือกที่จะมู บนบานศาลกล่าว จ้างหมอผีมาทำพิธีแทนซะงั้น สุดท้ายยายผมป่วยติดเตียงครับต่อมาเสียชีวิต
มี่ตัวอย่างเล็กๆของสังคมสายมูครับซึ่งผมคิดว่าถ้าตอนนั้นยายผมได้รับการรักษาดีๆคงไม่ทรมานและตายจากไปไวขนาดนี้ครับ
สังคมมูเป็นสังคมที่น่าเศร้ามากสำหรับผม
ตั้งแต่เชื่อวิทยาศาสตร์ก็เลิกเชื่ออย่างอื่นไปเลย จนบางครั้งก็คิดว่าเชื่อวิทยาศาสตร์มาไปป่าวนะ
ขอบคุณที่กลับมา😊😊😊ติดตามน้องฟางตลอดครับ❤❤❤เป็นกำลังใจให้เสมอครับ🎉🎉🎉
ไม่มู นับถือตัวเอง เชื่อตัวเอง เพราะตัวเองเป็นคนตัดสินปัญหาทั้งหมด ถูกหรือผิดต้องยอมรับ กับผลที่ตามมา เพราะตัวเองมี มีดี มีร้าย ในตัวเอง
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ต่างคนต่างอยู่
ความจริงก็คือความจริง ความเชื่อเปลี่ยนความจริงไม่ได้ "มู = งมงาย" แต่ใดใดแล้วถ้ามูแล้วดีต่อชีวิตท่านและไม่เบียดเบียนผู้อื่นจงทำไปเถิด
ฟังแล้วทำให้นึกถึงกลุ่มนักเชื่อมกล้วยกลุ่มหนึ่งจริงๆ
คนไทยชอบงับเรื่องมูพึ่งสิ่งศักดิ์ต่างๆนาๆ😂😂😂😂😂
มู คือ ไรอะ น่ากิน
ลัดทิ ก็น่ากิน 😂
ไม่มูครับ จากประสบการณ์ตั้งแต่เด็ก ที่บ้านไหว้พระขอพร ขอนู้นนี่นั้น เกิดวันนี้ต้องเปิดไฟหน้าบ้านเพื่อให้เงินไหลเข้ามา จากมุมมองเรามันไร้สาระมากๆ เพราะเราไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาเลยจากการกระทำเหล่านั้น เพราะทำแล้วก็เห็นแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี จากมุมมองส่วนตัว เพราะเขาบอกทำแล้วจะรวยแต่เห็นทำมาหลายปี แค่เปิดไฟกับหน้าจอโทรศัพท์มันก็ไม่เห็นจะรวยแฮะ ขอบายทางนี้ดีกว่า
เอาคุณป๋องเเปงกลับมา
ตอนแรกก็คิดจะหาเหตุผลมาคุยว่าทำไมถึงมีทางเลือกอื่น ตอนนี้เปลี่ยนใจละ คือที่บ้านผมเริ่มจากความเชื่อบ้านๆ ไปสายมู แล้วก็ไปพุทธแบบสุดโต่ง(ทำตามคำสอนโดยไม่ตั้งคำถาม) ส่วนตัวผมก็แวะไปศาสนานั้นทีนี้ทีด้วย มีครั้งหนึ่งที่รับพระคริสต์ เข้าไปศึกษาอิสลาม มีบาทหลวงมอม่อนเข้ามา หลังๆก็จะศึกษาลัทธิเต๋า ขงจื้อ แล้วก็จะมีฮินดูเข้ามาด้วยตั้งแต่รู้จัก Sadhguru แต่สุดท้ายพอ "บรรลุธรรม" แล้ว ก็พบว่าแม่งก็ไม่มีอะไรอะ บางทีการเชื่อในสายมู การยึดติดกับชีวิต อาจจะดีแล้วก็ได้ คนทั่วไปที่จิตใจยังไม่พร้อมถ้าถูก "เบิกเนตร" ให้เห็นทางนี้ เขาจะรับได้ไหม ผมว่าคงสติแตกกันเป็นแถบๆ จริงๆถ้าผมใช้ความรู้ที่มีมาตั้งลัทธิสายมูของตัวเองมันก็เป็นไปได้นะ แต่ผมยังหาจุดเชื่อมต่อนั้นไม่เจอ ทุกวันนี้คุยกับคนไม่รู้เรื่องละ อยากจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปครับ ขนาดคุณย่าของผมที่ไปทางพุทธแบบสุดโต่ง ยังนับว่างมงายเลย ผ่านไปตั้งกี่ปีก็ไม่เห็นมีการพัฒนาในระดับบุคคลขึ้น ส่วนตัวผมคือเดินไปทั่ว มองกลับไปก็เห็นคอนทราสชัดเจนว่าเราเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง ถ้าผมไม่แสวงหาสัจจธรรมตั้งแต่อดีต ปัจจุบันในโลกคู่ขนานนั้นผมจะเป็นคนยังไง ผมจะอยู่จุดไหนในสังคม มันก็เห็นหมดแล้วหลังจากที่ผ่านเรื่องเหล่านั้นมา ตอนนี้ถ้าถามว่าผมเชื่ออะไร ก็คงยากที่จะตอบเหมือนกัน ผมแค่ "เข้าใจ" สิ่งที่เป็นอยู่ ไม่สามารถหาภาษามาแปลให้คนเข้าใจได้ แล้วผมคิดว่าต่อให้คนอื่น "รู้" ในสิ่งที่ผมรู้ มันก็ไม่มีอะไรที่ทำให้พวกเขาดีขึ้น ผมว่าถ้าพวกเขา "เห็น" ในสิ่งที่ผม "เห็น" อาจจะรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ เพราะผม "เข้าใจ" "รับรู้" และ "เห็น" ในเรื่องเหล่านี้ ผมเลยสามารถปล่อยวางได้ อะไรจะเกิดก็ตามนั้น ไม่ต้องดิ้นรนอะไร เราก็เดินของเราต่อไป
มูครับเพราะทำให้ชีวิตมีกิจกรรมมีสีสันในชีวิต
สังเกตเห็นอีกทางเลือกนอกจากมู หันไปพึ่งยาเสพติด
เพื่อน : นายมูที่ไหน
ผม : มู 2 อำเภอ..... จังหวัด.....
แอแฮร่รรร!!!
ส่วนตัวไม่มูเลยครับ เชื่อในหลักตรรกะ เหตุผลและวิทยาศาสตร์
สังเกตุประเทศที่เจริญแล้วพวกประเทศโลกที่ 1 แทบจะไม่มีพวกมูเลย
ผมมูนะ แต่มูกับพระเจ้า
แล้วดูคลิปนี้ต่อจากคลิปที่แล้วที่พูดเรื่องนักปรัชญาเชื่อในพระเจ้าเพราะสถิติแล้วเชื่อคุ้มกว่าไม่เชื่อ โอเค ไม่เคยเชื่อในการมูเลย เริ่มวันนี้ก็ได้ ยังไงก็ไม่ขาดทุนเนอะ
ผมคิดว่า ชุดความคิดนั้นมันค่อนข้างแปลก
เพราะเขาให้น้ำหนักของการมีอยู่และไม่มีอยู่ของพระเจ้า เท่าๆกัน
ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า น้ำหนักของการไม่มีอยู่ของพระเจ้า มีน้ำหนักมากกว่า
มากกว่าเอา 2 ช่องของการเชื่อพระเจ้ามารวมกันเสียอีก
คำสอนศาสนาต่างยอมรับว่าคือสัจธรรม คือความจริง ความเขื่อใดขัดแย้งกับแนวทางคือความเชื่อที่ผิดและหลงทาง
ศาสนาสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความจริง
ความเชื่อใดที่ผิดจากแนวทางแถมไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ไตร่ตรองให้ท่องแทั คือ งมงาย
ส่วนตัวไม่มู
เพราะคิดว่าการมูเพื่อนำพามาซึ่งคำตอบบางอย่าง
มันจะทำให้เราพลาดโอกาสในการหาคำตอบนั้นไป
ศาสนาไม่ได้เสื่อมลงเลย มนุษย์ต่างหากที่เสื่อมลง
หมายถึงศาสนาไหนครับ
มนุษย์สร้างบ้าน เวลาผ่านไปบ้านเสื่อมลงหรือมนุษย์เสื่อลง มนุษย์สร้างศาสนา เวลาผ่านไปศาสนาเสื่อมลงหรือมุษย์เสื่อมลง
ส่วนคัวเราเปรียบแบบนี้ครับ
แม้จะรู้ว่า อาชญากร คือเหยื่อของสังคม
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ อาชาญากรรม ที่ทำไว้หายไป
แม้เราจะรู้ว่า ความเชื่องมงาย จะมีสาเหตุมาจาก ความรู้สึกไร้ที่พึ่ง ไม่มั่นคง
แต่ความงมงาย ก็คือความงมงาย อยู่ดี
เรายอมรับการอ้างประโยชน์จากมันได้ เฉพาะในบริบทที่ เรามีความรู้ไม่พอจะลบล้างความงมงายได้เท่านั้น
ส่วนตัวอีกแล้ว เราเชื่อว่า
“ไม่ว่าคุณจะมีความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิ แค่ไหน หากงมงายระดับเดียวกัน ก็โง่ได้เท่ากันทุกคน”
ไม่ได้มีไว้เพื่อบูลลี่ แต่มีไว้เพื่อเตือนตัวเองว่า
ให้เชื่อในความรู้ ภูมิปัญญาที่พิสูจน์ได้
เพราะโง่มาเยอะ งมงายมาเยอะ ผิดพลาดมาเยอะ
สายมู ก็คือความงมงาย ไม่ว่าจะอ้างถึงบริบทใด ๆ ก็ตาม
ด้วยความเคารพทุกท่านครับ
ความงมงายที่ว่าคืออะไรคะ และสมมุติถ้าเราเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง ไม่ใช่แค่ในรูปแบบแบคทีเรียหรือสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ถึงจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากแต่เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับและระบุได้อย่างชัดเจน ก็เลยยังอยู่แค่ในระดับ "ความเชื่อ" หรือ "ข้อสันนิษฐาน" อยู่ คนที่เชื่อเรื่องนี้นับเป็นความงมงายด้วยหรือเปล่าคะ
งั้นถ้าเราได้รับ offer งานจาก 2 ที่ โดยที่พิจารณาทั้งข้อดีข้อเสียแบบลิสเป็นข้อ ๆ ไว้แล้ว ทั้งบริบทของเงินเดือน สวัสดิการ การเดินทาง ที่พักอาศัย ความสะดวก เพื่อนร่วมงาน บรรยากาศในการทำงาน ความก้าวหน้าในหน้าที่ วัฒนธรรมองค์กร ก็ค้นพบว่าทั้ง 2 ที่มีข้อดีข้อเสียแบบกินกันไม่ลง ใกล้เคียงกันระดับที่จะเลือกที่ไหนก็ได้แล้วแต่เราแล้ว แต่เราก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรับทำงานที่ไหนดี เลยไปดูดวงว่าควรจะเลือกที่ไหน แบบนี้นับว่าเค้าโง่งมงายหรือเปล่าคะ เพราะเค้าใช้วิธีการอย่างมูเตลูเหมือนกัน
ส่วนตัวคิดแบบนี้ค่ะ อะไรที่มันสุดโต่ง มันก็ทำให้เราโง่ได้เหมือนกันหมดค่ะ รวมถึงกับการที่ยึดมั่นเพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งจนไม่เปิดใจคิดในมุมมองที่แตกต่างบ้าง (ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงมุมมองทางศาสนาหรือไสยศาสตร์ แต่หมายถึงมุมมองของจิตวิทยาหรือสังคมวิทยา และเรื่องทั้ง 2 ศาสตร์นี้ก็ใช้วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ในการวิจัยเหมือนกัน) และไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะว่าอาชญากรรมที่ว่าหมายถึงอะไร
ด้วยความเคารพท่านค่ะ
ปล.ส่วนตัวไม่มีศาสนา ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ไม่เชื่อเรื่องเรื่องมนุษย์ต่างดาว และส่วนตัวต่อต้านการงมงายสุดโต่งส่งผลกระทบต่อชีวิตมาก ๆ
ความงมงาย ก็คือความงมงาย ตามทึ่เขียนไว้นั่นแหละครับ อย่าเพิ่งใช้อารมณ์😂
ถ้าให้ใช้ตัวอย่าง ที่ท่านยกมา ที่ทำงาน 2 ที่ เลือกอันไหนดี เราอยากได้แบบไหนล่ะครับ
ถ้าอยากได้ความมั่นคง ตรวจงบการเงินมั้ย ?อยากอยู่บริษัทที่มีความก้าวหต้า ดูนโยบายคณะบริหารมั้ยครับ ? นั่นคือ สมมุติฐาน ที่ใช้ชุดความรู้ หลักฐาน ที่ ต่างจาก ความงมงาย ที่ หมอดู ใช้ครับ
อีกประการ คำว่า สุดโต่ง นี่ เห็นสมควรใช้กับ คนทึ่ชอบออกตัวว่า ไม่งมงาย ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่
เหล่านี้ ที่จริงคือ เชื่อทุกเรื่องงมงาย นั่นแหละ แต่ไม่รับ😂😂😂
และใครแตะไม่ได้ด้วย!!!😂😂😂 จะเหมาะสมกว่านะครับ
❤ถ้า 👈🏻ชุดความรู้เรายังไม่ถึง เราอาจ งมงายโดยไม่รู้ตัว ได้ครับ
แต่ถ้าชุดความรู้ถึงแล้ว ยังเชื่อสิ่งที่งมงายอยู่ ยังคิดว่า จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งงมงายอยู่
นั่นคือ “คนงมงาย” ไงครับ
ยินดีที่ได้ถกเถียงนะครับ
@@piedonteatvegetables4470ส่วนเรื่องที่หลาย ๆ ท่านชอบอ้าง เรื่องวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ไม่ได้นั้น สิ่งที่มันเป็นความจริงกวว่านั้นคือ
”เราไม่รู้ว่า วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ได้วันไหนครับ แต่เรารู้ว่า ความงมงาย และไสยศาสตร์ ไม่มีวันพิสูจน์ได้“
ความสำเร็จหลังเกษียณ รัฐบาลไปไหน รัฐไม่ดูแลประชาชนเร้อ ไม่งั้นสังคมไม่บี้กันจนเละเหรอ
ไม่มู เพราะมั่นใจว่าตัวผมเองสามารถสร้างทางเลือกให้ตัวเองได้
ความเชื่อพวกนี้น่าจะสัมพันธ์กับเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งตกต่ำมาก คนก็สิ้นหวัง ไปพึ่งอะไรพวกนี้มาก
ถ้ามนุษย์ไม่ได้เชื่อเพราะเราอยากจะเชื่อ งั้นมนุษย์ก็ไม่มีเจตจำนงเสรี เพราะแค่เลือกที่เชื่อหรือไม่เชื่อเราก็ตัดสินใจเองไม่ได้
ผมเชื่อว่าทุกคนมีความมูอยู่ในตัว แม้จะไม่ได้เป็นเครื่องรางของขลัง เรื่องเล็กๆ ที่บางครั้งเราก็ไม่ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง แต่ใช้ความสบายใจ ทำแล้วมั่นใจขึ้น ดีกว่าไม่ได้ทำ ตัวอย่างเช่น การถือเคล็ด เราไม่รู้หรอกสุดท้ายทำให้ส่งผลให้ประสบความสำเร็จรึป่าว
หรือบางครั้งความมูถูกเชื่อมโยงกับสิ่งของเพื่อเพิ่มมูลค่าได้ เช่น ทะเบียนรถเลขสวยๆ เราก็รู้ว่าทะเบียนรถ ไม่มีผลอะไรกับตัวรถเลยแต่คนก็อยากมีเพื่อเพิ่มคุณค่า และถามว่าเราเชื่อผลรวมเลขทะเบียนมงคลไหม? ก็ไม่ได้เชื่อแต่ถ้ามีเลขสวยและผลรวมเป็นดีมาก กลายเป็นเติมเต็มความพอใจในชีวิต
ผมไม่เชื่อครับ ไม่เคยมูอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ขอพรสักข้อก็ไม่เคย…ดังนั้นที่ว่าทุกคนมีความมูอยู่ในตัวผมว่าไม่ใช่ครับ
@@horizon2109 คุณว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ครับ ผมก็ไม่รู้หรอกครับ ชีวิตคุณเป็นยังไง คุณอาจจะบอกผมว่าไม่มีเลย ผมก็เชื่อครับ ความจริงอยู่กับตัวคุณ จะเลือกพิจารณาตัวเองและยอมรับแค่ไหน แค่คุณเคยตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วเลือกสิ่งนี้ด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ผมก็นับเป็นการมูแล้วละครับ นอกจากวิธีที่คุณเลือก คุณใช้การโยนหัวก้อยตัดสิน
พอพูดแบบนี้ผมนึกถึงการมูสไตล์คนญี่ปุ่นเลย
มันอารมณ์แบบ ขอพรแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นเฉยๆ
สุดท้ายก็เอาตัวเองไปทำให้เกิดผลลัพธ์ แต่ไม่ได้ทำไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลลัพธ์โดยตรงซะทีเดียว
ผมไม่มู เพราะผมมีสูตรกดตู้กาชามากกว่า100สูตร
สายมูถ่วงความเจริญของประเทศ
ມີນັກສຶກສາຫຼາຍໆຄົນທີ່ຈົບຈາກລະບົບສາມັນ ແຕ່ຍັງບໍ່ສາມາດຄິດໄດ້ດ້ວຍຕົນເອງ ເພາະເຂົາຢູ່ໃນການສຶກສາພາກບັງຄັບ
ພໍຈົບອອກມາ ແລ້ວເຂົາມະຫາວິທະຍາໄລ ພວກເຂົາກໍປັບໂຕບໍ່ໄດ້ ບໍ່ຮູ້ຈັກຄິດດ້ວຍຕົນເອງ
ເຊິ່ງກໍເປັນໜ້າທີ່ຂອງ ຄູ ອາຈານ ທີ່ຈະຕ້ອງສອນໃຫ້ເຂົາຄິດໃຫ້ໄດ້ດ້ວຍໂຕເຂົາເອງ
ส่วนตัวไม่มูเลยครับ เชื่อในเหตุและผลมากกว่า เราสร้างเหตุอะไรไว้ผลมันก็เป็นอย่างนั้น เหมือนปลูกต้นทุเรียน ก็ได้ลูกทุเรียน จะได้อาโวคาโด้ได้งัย😂
แต่ก็มีเพื่อนที่รู้จักหลายคนที่เรียนเคมี เรียนวิศวกรรม หรือเป็นนักวิจัยที่ใช้สถิติในการทำงานอยู่ตลอด แต่ที่ว่ามานี่คือมูจริงจังทุกคน 555 ถ้าให้วิเคราะห์ก็จะเห็นว่าเค้ามีเหตุปัจจัยให้เกิดความต้องการที่พึ่งทางใจจริงๆ นั่นแหละ
ย้อนกลับมาที่ตัวเอง ก็มองว่าบางช่วงที่นึกถึงโชคชะตาหรืออะไรที่เราควบคุมไม่ได้ นั่นแหละเราจะมีแวบนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างบ้าง แต่ถ้าช่วงที่ทุกอบ่างอย฿ในจุดที่เราควบคุมได้และเราพึงพอใจ ก็ไม่เยนึกถึงอะไรแนวนั้นเท่าไหร่
มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ - ซาร์ต
เชื่อในความสามารถของตัวเองไม่ได้พราะมันยาก หรือเพราะนิสัยขี้เกียจ-ขี้โกง ?
คลิปสั้นเกินไป ขอยาวกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ
เม้นสองครับ
เม้นเเรกครับ
พวกที่มู ๆ เพราะมูมันง่าย และส่วนใหญ่ที่มูคือสิ้นหวังบนพื้นฐานของเหตุและผล เลยพึ่งพาสายมู
ยิ่งชีวิตสิ้นหวัง ยิ่งวิ่งเข้าหาของพวกนี้
เห็นด้วยครับ
ผมคิดว่าโดย nature ความเป็น “คนไทย” มักจะเป็นคนง่ายๆ รวมไปถึง มักง่าย
ซึ่งการมูโดยหวังผลลัพธ์ ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างง่ายอยู่เหมือนกัน มันเลยตรงจริต 5555
ส่วนตัวผมว่าคำตอบของผู้ดำเนินรายการยังขาดการตลกผลึก คำตอบจึงค่อนข้างกว้างและหาแก่นไม่เจอ ผมขออนุญาติอธิบายอย่างนี้ครับ
การมูในสังคมไทยมันมีมานานแล้ว มันไม่ได้เพิ่งมาบูมขึ้นในยุคสมัยนี้ เพียงแต่มันเปลี่ยนถ่ายจากการมูแบบ ‘พุทธ’ มาเป็นการมูแบบ ‘ผี’ เท่านั้นเอง
อธิบายเพิ่ม คือคนรุ่นก่อนจะเชื่อในศาสนาพุทธ(พุทธปลอมซะเป็นส่วนใหญ่) เวลาจะมูเขาก็จะมูในแบบพุทธ(ปลอม) เช่น ทำบุญโลงศพ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ฝังลูกนิมิตร โดยเชื่อว่าจะนำสิ่งดีๆ มาให้ในชีวิต (ปล.สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในพุทธแท้)
พอมาถึงคนรุ่นใหม่ เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่เชื่อในศาสนาพุทธ เขาเลยไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญ ไม่ทอดกฐิน แล้วเปลี่ยนไปมูในแนวทางนอกศาสนาพุทธ(ปลอม)แทน เช่น ไหว้เทวรูป ไหว้พระพิฆเนศ เชื่อในเรื่องสีเสื้อเกี่ยวกับโชคลาภ ไพ่ทาโร่ ดูดวง ฯลฯ
ซึ่งพอคนรุ่นใหม่มาสนใจสิ่งที่อยู่นอกศาสนาพุทธ ค่าสถิติของการมูมันก็เพิ่มขึ้นไง มันก็แค่นั้นเอง ไม่ได้มีหลักการซับซ้อนอะไรเหมือนที่คุณพูดมาหรอกครับ
แถมให้อีกนิด ถามว่าทำไมคนไทยชอบมูในขณะที่ตะวันตกไม่ค่อยมู คำตอบคือเพราะคนไทยไม่ได้ปลูกฝังค่านิยม “เชื่อมั่นในตนเอง” ให้เกิดขึ้นมากพอ คนไทยจึงไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง แต่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า ในขณะที่ตะวันตกจะปลูกฝังให้เป็นคนที่มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง เขาจึงไม่ต้องมาคอยมูเพื่อให้ชีวิตดีขึ้นครับ
แล้วคำว่าเชื่อมั่นในตัวเองเนี่ยเป็นเพราะสังคมใหญ่ไม่มีการเหยียดหยามความเชื่อของตัวเอง แช้วทำไมยังมีข่าวเหยีดสีผิวอยู่อีกล่ะ ในไทยสังคมใหญ่บังคับให้คนไม่กล้าเสนอความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะกลัวโดนแปลกแยกตีตัวออกห่าง เลยเลือกตามสิ่งที่คนส่วนมากเค้าเชื่อกัน รึเปล่า
เราว่าระดับครูภาคิน เค้าน่าจะตกผลึกตรงนี้ได้อยู่แล้วค่ะ แค่อาจจะอธิบายได้ไม่เคลียร์เพราะด้วยระยะเวลาหรืออะไรก็แล้วแต่ (คลิปนี้เป็น Shortcut เนื้อหาเต็ม ๆ เลยน่าจะมีมากกว่านี้) ทีนี้ ประเด็นที่คุณว่ามามันถูกต้องเลย แต่มันสามารถซับซ้อนได้เทียบเท่ากับที่ครูภาคินเล่าให้ฟังเหมือนกันค่ะ
สรุปแบบง่าย ๆ เลยคือ พอมนุษย์เราเกิดความไม่มั่นคงในบางสิ่งบางอย่าง เราก็ต้องการสิ่งหนึ่งที่มาคอยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวค่ะ เอาตัวอย่างง่าย ๆ ก็ นักธุรกิจท่านหนึ่งกำลังจะผลิตสินค้าตัวใหม่วางขายสู่ตลาด เค้าคิดแหล่ะว่าสินค้าของเค้ามันดี แต่ด้วยความที่ตลาดมันมีอะไรไม่แน่นอนค่อนข้างมาก เค้าเลยกังวลว่ามันจะไปได้สวยมั้ย จะมีอะไรกันซีนรึเปล่า เค้าเลยไหว้พระพิฆเนศเพื่อปัดเป่าอุปสรรค (ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าเค้าจะไม่ลงมือทำการตลาดอะไรใด ๆ นะ ก็ทำนั่นแหล่ะ แค่ไหว้ด้วย) คือมันยังไม่ทราบหรอกค่ะว่าผลจะเป็ฯยังไง แต่อย่างน้อยเค้าก็สบายใจขึ้นประมาณนึงได้แล้ว ซึ่งตรงนี้แหล่ะค่ะที่ครูภาคินเค้าหมายถึง
ส่วนที่คุณบอกเรื่องเชื่อมั่นใจตัวเอง จริง ๆ ถ้าอธิบายว่าเป็น "ความมั่นใจในการเมืองและเศรษฐกิจ มักส่งผลต่อความมูของประชากร" น่าจะตอบโจทย์กว่าค่ะ หรือก็คือ ประเทศไหนที่ระบบการจัดการห่วย ประชาชนไม่สามารถเชื่อมั่นในรัฐบาลหรือผู้ใช้กฎหมายได้ ก็มักจะหันไปพึ่งสิ่งอื่นเป็นเครื่องนึดเหนี่ยวจิตใจแทนค่ะ เช่น มูเตลู (ยกตัวอย่างก็ สมมุติว่าปีนี้ฝนตกหนักมาก ๆ จนเสี่ยงน้ำท่วม ถ้าอยู่ในประเทศที่รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาได้แทบตลอด ประชาชนก็จะแค่กังวล ในขณะที่ถ้าประเทศนั้นรัฐบาลแทบจัดการอะไรไม่เคยได้ ประชาชนจะกลัวมาก ๆ จนต้องรวมตัวกันสวดมนต์ขออย่าน้ำท่วมเลยน้า แล้วพอเป็นงี้เรื่อย ๆ เลยกลายเป็นว่าประชาชนเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า พอทำอะไรก็พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นติดมูกันแล้ว)
ตะวันตกเค้าไม่ได้ไม่ค่อยมูนะคะ แค่มันอยู่ในลักษณะของ "เชื่อในพระคริสต์ อธิษฐานในใจ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา" เพราะกลุ่มศาสนาอับราฮัมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปเคารพค่ะเลยสามารถทำในใจก็ได้ (ไม่งั้นโบสถ์คริสต์คงร้างแม้แต่ในวันอาทิตย์แล้วค่ะ) ต่างจากแนวคิดทางศาสนาของตะวันออกที่มีรูปเคารพค่อนข้างมาก (เมื่อเทียบกับกลุ่มศาสนาอับราฮัม) เลยสามารถทำได้ทั้งในใจและเป็นกิจลักษณะได้โดยไม่จำเป็นต้องไปโบสถ์เท่านั้นค่ะ เราเลยเห็นชาวตะวันออกไหว้เจ้ากันบ่อย ๆ แต่ไม่เห็นชาวตะวันตกไหว้พระเจ้ากัน (นี่ยังไม่นับเรื่องความแตกต่างทางศาสนาอีกนะ)